หนองบัวลำภู
ประวัติความเป็นมา จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นชุมชนเมืองเล็ก ๆ กระจายกันอยู่ทั่วไปมีหลักฐานที่ค้นพบปรากฏให้เห็นเด่นชัด ได้แก่ แหล่งโบราณคดีโนนพร้าว บ้านกุดคอเมย ต.กุดดู่ และบ้านกุดกวางสร้อย ต. บ้านถิ่น อ.โนนสัง ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ ภาชนะดินเผาทั้งแบบผิวเรียบและแบบตกแต่งผิวด้วยการเขียนสีและลวดลายต่าง ๆ แวดินเผา หินบดเผาเครื่องมือเหล็ก เครื่องประดับสำริด อายุประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ยุคประวัติศาสตร์ มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ค้นพบโบราณวัตถุสมัยทวาราวดี เช่น ใบเสมาหินทรายวัดพระธาตุเมืองพิณ อ.นากลาง และใบเสมาหินทรายวัดป่าโนนคำวิเวก อ.สุวรรคูหาจนถึงสุโขทัยเมื่อสิ้นสมัยวัฒนธรรมขอมก็ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมไทยลาว (ล้านช้าง) เข้ามาแทนที่ประมาณ ปี พ.ศ. 2106 พระไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) ได้นำผู้คนอพยพมาอยู่อาศัยได้สร้างพระพุทธรูปและศิลาจารึกไว้ที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา อ.สุวรรณคูหา และได้มาสร้างพระพุทธรูป วิหาร และขุดบ่อน้ำในบริเวณวัดในหรือวัดศรีคูณเมืองและยกฐานะขึ้นเป็นเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ซึ่งคนทั่วไปนิยมเรียกว่า "เมืองหนองบัวลุ่มภู" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2117 ในระหว่างที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 ให้แก่พม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขณะนั้นพระชนมายุได้ 19 พรรษา ครองเมืองพิษณุโลกอยู่ ได้ตามเสด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา นำกองทัพพักแรมที่บริเวณริมหนองบัวแห่งนี้ สมเด็จพระนเรศวรได้ประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงยกทัพกลับ สมัยพระวอ พระตาครองเมือง พ.ศ. 2292 พระยาวรราชภักดีและพระตาดวงสา ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านหินโงม นครเวียงจันทร์ได้อพยพหนีข้ามลำน้ำโขง พาขุนศึกลูกพี่ลูกน้องและไพร่พลสมัครพรรคพวกที่อยู่ในความปกครองของตน มาตั้งหลักปักฐานสร้างเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ขึ้นใหม่ประมาณปี พ.ศ. 2302 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.2321 พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ให้เจ้าพระยาจักรียกกองทัพขึ้นมาช่วยพระตา-พระวอราชภักดี ขับไล่กองทัพพระเจ้าสิริบุตสารออกไปจากอาณาเขตของไทย แล้วยกกองทัพติดตามเข้าโจมตีเมืองเวียงจันทน์จนได้ชัยชนะ และนำพระแก้วมรกต และพระพุทธรูปปางต่างๆนำกลับมาถวายพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2369 - 2406 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงษ์แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฎยกทัพมายึดเมืองนครราชสีมาทางกรุงเทพฯ จึงส่งกองทัพไทยมาปราบ เจ้าอนุวงษ์ ได้ถอยทัพกลับมาตั้งรับอยู่ที่หนองบัวลำภู ฝ่ายไทยติดตามขับไล่ตามจับเจ้าอนุวงษ์ได้ที่เวียงจันทน์ แล้วนำตัวกลับไปพิจารณาโทษที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2433 สมัยรัชกาลที่ 4 ได้จัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองทางลุ่มน้ำโขงใหม่ โดยให้ข้าหลวงเมืองหนองคายบังคับบัญชา เมืองหนองบัวลุ่มภูขึ้นกับเมืองหนองคาย ต่อมาในช่วงหนองบัวลุ่มภูขึ้นสังกัดอยู่กับหัวเมืองลาวพวน พระประทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคายได้แต่งตั้งพระวิชดยดมกมุทเขต มาครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองกมุทชาสัย" พ.ศ.2449 ได้โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนชื่อเมืองกมุทธาสัยเป็น "เมืองหนองบัวลำภู" ขึ้นอยู่บริเวณหมากแข้ง พ.ศ.2450 ได้โปรดเกล้าฯให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่างๆในบริเวณหมากแข้งตั้งเป็งเมืองจัตวา เรียกว่าเมืองอุดรธานี ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ เมืองหนองบัวลำภูจึงกลายเป็น "อำเภอหนองบัวลำภู" ขึ้นกับจังหวัดอุดรธานี โดยมีพระวิจารณ์กมุทธกิจเป็นนายอำเภอคนแรก เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในด้านการปกครอง การให้บริการของรัฐการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การส่งเสริมให้ท้องถิ่นเจริญยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา จึงได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูตามร่างเสนอของนายเฉลิมพล สนิทวงศ์ชัยและคณะ แล้วประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2536 โดยกระกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 110 ตอนที่ 125 ลงวันที่ 2 กันยายน พุทธศักราช 2536 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลทั่วไป จังหวัดหนองบัวลำภู
หนองบัวลำภู เป็นเมืองโบราณที่มีประวัติยาวนานไม่น้อยกว่า 900 ปี เดิมเป็นดินแดนที่ขึ้นต่อกรุงศรีสัตตนาคนหุต (เวียงจันทน์) มีชื่อว่า“เมืองหนองบัวลุ่มภู นครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน” หนองบัวลำภู ได้รับแต่งตั้งเป็นจังหวัดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เดิมเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ประมาณ 3,859 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู โนนสัง ศรีบุญเรือง นากลาง สุวรรณคูหา และนาวัง
หนองบัวลำภู เป็นเมืองโบราณที่มีประวัติยาวนานไม่น้อยกว่า 900 ปี เดิมเป็นดินแดนที่ขึ้นต่อกรุงศรีสัตตนาคนหุต (เวียงจันทน์) มีชื่อว่า“เมืองหนองบัวลุ่มภู นครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน” หนองบัวลำภู ได้รับแต่งตั้งเป็นจังหวัดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เดิมเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ประมาณ 3,859 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู โนนสัง ศรีบุญเรือง นากลาง สุวรรณคูหา และนาวัง
อาณาเขต
• ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดอุดรธานี• ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดอุดรธานี
• ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดเลย
• ทิศใต้ ติดกับจังหวัดขอนแก่น
การเดินทาง
• รถยนต์ จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงจังหวัดสระบุรี บริเวณกิโลเมตรที่ 107 แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี ถึงจังหวัดหนองบัวลำภู รวมระยะทาง 608 กิโลเมตร• รถโดยสารประจำทาง มีทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศที่วิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-หนองบัวลำภูสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ
• รถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดขบวนรถด่วนและรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ทุกวัน เป็นรถไฟที่วิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานี จากนั้นใช้รถโดยสารประจำทางที่วิ่งระหว่างอุดรธานี-หนองบัวลำภู สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางรถไฟได้ที่ หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย
• เครื่องบิน จังหวัดหนองบัวลำภูไม่มีเครื่องบินลง นักท่องเที่ยวสามารถลงได้ที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี ซึ่งบมจ.การบินไทย มีบริการเครื่องบินรับส่งผู้โดยสารระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานี และอุดรธานี-กรุงเทพฯ ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางการบินได้ที่ บมจ. การบินไทย กรุงเทพฯ ระยะทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอต่างๆอำเภอนากลาง 30 กิโลเมตรอำเภอศรีบุญเรือง 33 กิโลเมตรอำเภอโนนสัง 42 กิโลเมตรอำเภอนาวัง 42 กิโลเมตรอำเภอสุวรรณคูหา 65 กิโลเมตร
ประวัติจังหวัดหนองบัวลำภู
ยุคประวัติศาสตร์ มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ค้นพบโบราณวัตถุสมัยทวาราวดี เช่น ใบเสมาหินทรายวัดพระธาตุเมืองพิณ อ.นากลาง และใบเสมาหินทรายวัดป่าโนนคำวิเวก อ.สุวรรคูหาจนถึงสุโขทัยเมื่อสิ้นสมัยวัฒนธรรมขอมก็ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมไทยลาว (ล้านช้าง) เข้ามาแทนที่ประมาณ ปี พ.ศ. 2106 พระไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) ได้นำผู้คนอพยพมาอยู่อาศัยได้สร้างพระพุทธรูปและศิลาจารึกไว้ที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา อ.สุวรรณคูหา และได้มาสร้างพระพุทธรูป วิหาร และขุดบ่อน้ำในบริเวณวัดในหรือวัดศรีคูณเมืองและยกฐานะขึ้นเป็นเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า "เมืองหนองบัวลุ่มภู"
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2117 ในระหว่างที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 ให้แก่พม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขณะนั้นพระชนมายุได้ 19 พรรษา ครองเมืองพิษณุโลกอยู่ ได้ตามเสด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา นำกองทัพพักแรมที่บริเวณริมหนองบัวแห่งนี้ สมเด็จพระนเรศวรได้ประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงยกทัพกลับ
สมัยพระวอพระตาครองเมือง พ.ศ. 2292 พระยาวรราชภักดีและพระตาดวงสา ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านหินโงม นครเวียงจันทร์ได้อพยพหนีข้ามลำน้ำโขง พาขุนศึกลูกพี่ลูกน้องและไพร่พลสมัครพรรคพวกที่อยู่ในความปกครองของตนมาตั้งหลักปักฐานสร้างเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ขึ้นใหม่ประมาณปี พ.ศ. 2302 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.2321 พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ให้เจ้าพระยาจักรียกกองทัพขึ้นมาช่วยพระตาพระวรราชภักดี ขับไล่กองทัพพระเจ้าสิริบุตสารออกไปจากอาณาเขตของไทยแล้วยกกองทัพติดตามเข้าโจมตีเมืองเวียงจันทน์จนได้ชัยชนะ และนำพระแก้วมรกต และพระพุทธรูปปางต่างๆนำกลับมาถวายพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี
สมัยรันตโกสินทร์ พ.ศ. 2369 - 2406 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงษ์แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฎยกทัพมายึดเมืองนครราชสีมาทางกรุงเทพฯ จึงส่งกองทัพไทยมาปราบ เจ้าอนุวงษ์ ได้ถอยทัพกลับมาตั้งรับอยู่ที่หนองบัวลำภู ฝ่ายไทยติดตามขับไล่ตามจับเจ้าอนุวงษ์ได้ที่เวียงจันทน์ แล้วนำตัวกลับไปพิจารณาโทษที่กรุงเทพฯ
พ.ศ. 2433 สมัยรัชกาลที่ 4 ได้จัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองทางลุ่มน้ำโขงใหม่ โดยให้ข้าหลวงเมืองหนองคายบังคับบัญชา เมืองหนองบัวลุ่มภูขึ้นกับเมืองหนองคาย ต่อมาในช่วงหนองบัวลุ่มภูขึ้นสังกัดอยู่กับหัวเมืองลาวพวน พระประทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคายได้แต่งตั้งพระวิชดยดมกมุทเขต มาครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองกมุทชาสัย"
พ.ศ.2449 ได้โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนชื่อเมืองกมุทธาสัยเป็น "เมืองหนองบัวลำภู" ขึ้นอยู่บริเวณหมากแข้ง
พ.ศ.2450 ได้โปรดเกล้าฯให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่างๆในบริเวณหมากแข้งตั้งเป็งเมืองจัตวา เรียกว่าเมืองอุดรธานี ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ เมืองหนองบัวลำภูจึงกลายเป็น "อำเภอหนองบัวลำภู" ขึ้นกับจังหวัดอุดรธานี โดยมีพระวิจารณ์กมุทธกิจเป็นนายอำเภอคนแรก
เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในด้านการปกครอง การให้บริการของรัฐการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การส่งเสริมให้ท้องถิ่นเจริญยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา จึงได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูตามร่างเสนอของนายเฉลิมพล สนิทวงศ์ชัยและคณะ แล้วประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2536 โดยกระกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 110 ตอนที่ 125 ลงวันที่ 2 กันยายน พุทธศักราช 2536 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ตราประจำจังหวัด
1. ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อ พ.ศง 2117 สมเด็จพระนเศวรมหาราชได้ตามเสด็จสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา เพื่อยกกองทัพไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) และประทับพักแรมที่ริมหนองบัวลำภูอยู่ระยะหนึ่ง จนเกิดประชวรเป็นไข้ทรพิษ จึงเสด็จยกทัพกลับ ชาวหนองบัวลำภูจึงได้ร่วมใจกันสร้างศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้สักการะ
2. พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งความจริงนั้นทรงประทับยืนอยู่ภายในศาล พระหัตถ์ซ้ายทรงพระแสงดาบ ดวงตราที่ออกแบบให้ประทับยืนอยู่หน้าศาล เพื่อจะเน้นให้เห็นเด่นชัดเป็นประธานของดวงตรา โดยมีศาลอยู่ด้านหลัง
3. หนองบัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าศาลสมเด็จพระนเศวรมหาราช ตั้งอยู่ริมฝั่งหนองบัว
4. ภูเขา เป็นจังหวัดที่มีภูเขาป่าไม้อันได้แก่ เทือกเขาภูพาน ซึ่งมีธรรมชาติที่สวยงาม หนองบัวลำภูนั้นเดิมชื่อหนองบัวลุ่มภู คือเป็นหนองบัวที่อยู่ในลุ่มภูเขา
5. ชื่อจังหวัดบนผืนผ้า หมายถึง จังหวัดที่มีหัตถกรรมทอผ้าพื้นเมืองเป็นหลักส่วนชายทั้งสองข้างที่ผูกเป็นปมหมายถึงความสามัคคีที่ผูกพันแน่นแฟ้นของชาวจังหวัดหนองบัวลำภู
ต้นไม้ประจำจังหวัด
พยุง หรือ พยูง
คำขวัญประจำจังหวัด
ศาลสมด็จประนเศวรมหาราช
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ
แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว
เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน
ลักษณะภูมิประเทศ
จังหวัดหนองบัวลำภู มีพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง บางส่วนเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลาดตื้นถึงลาดลึก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร ทางตอนบนของจังหวัดจะเป็นพื้นที่ภูเขาสูง แล้วลาดลงไปทางทิศใต้ และทิศตะวันออก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและลูกรังไม่สามารถเก็บกักน้ำหรืออุ้มน้ำในฤดูแล้ง
ลักษณะภูมิอากาศ
ลักษณะอากาศในจังหวัดหนองบัวลำภู แบ่งออกเป็น 3 ฤดู เช่นเดียวกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับมรสุมที่พัดผ่านประจำปี จัดอยู่ในประเภทภูมิอากาศแบบพื้นเมืองร้อนเฉพาะฤดู กล่าวคือ จะมีฝนตกเฉพาะในฤดูฝน สลับกับช่วงแห้งแล้งในฤดูหนาวและฤดูร้อน
1) ฤดูร้อน อยู่ในระหว่างเดือน มีนาคมถึงเมษายน อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 34 - 36 องศาเซลเซียส
2) ฤดูฝน อยู่ในระหว่างเดือน พฤษภาคมถึงตุลาคม และจะตกมากในเดือน สิงหาคม-กันยายน เนื่องจากอิทธิพล
พายุดีเปรสชั่น
3) ฤดูหนาว อยู่ในระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวมากในช่วงเดือนธันวาคม– มกราคม โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 15 - 16 องศาเซลเซียส
ปริมาณฝนที่ตกในจังหวัดหนองบัวลำภูโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วงระหว่าง 978.3 - 1,348.9 มิลลิเมตรต่อปี อำเภอสุวรรณคูหา มีปริมาณฝนตกโดยเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ อำเภอนากลาง ส่วนพื้นที่ที่มีฝนตกน้อยที่สุด ได้แก่ อำเภอเมือง ซึ่งมีปริมาณโดยเฉลี่ยประมาณ 978.3 มิลลิเมตรต่อปี
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากหลักฐานลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2478 ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าตอนหนึ่งว่า “...เรื่องตำบลหนองบัวลำภูนั้นเมื่อหม่อมฉันขึ้นไปตรวจราชการมณฑลอุดร ได้สืบถามว่าอยู่ที่ไหน เพราะเห็นเป็นที่สำคัญมีชื่อในพงศาวดารเมื่อครั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ยกกองทัพขึ้นไปช่วยพระเจ้าหงสาวดี ตีกรุงศรีสัตนาคณหุต ได้พาพระนเรศวรราชบุตรไปด้วย เมื่อไปถึงหนองบัวลำภู พระนเรศวรไปประชวรออกทรพิษ พระเจ้าหงสาวดีจึงอนุญาตให้กองทัพไทยยกกลับมา...” และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่ารายละเอียดในพระนิพนธ์ เรื่องประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ว่า “... ถึงปีจอ พ.ศ. 2117 ได้ข่าวไปถึงเมืองหงสาวดี ว่า พระเจ้าไชยเชษฐาเมืองล้านช้าง ไปตีเมืองญวนเลยเป็นอันตรายหายสูญไปและที่เมืองล้านช้างเกิดชิงราชสมบัติกัน พระเจ้าหงสาวดีเห็นได้ทีก็ยกกองทัพหลวงไปตีเมืองเวียงจันทน์ ครั้งนั้นตรัสสั่งมาให้ไทยยกกองทัพไปสมทบด้วย สมเด็จพระมหาธรรมราชาฯ กับสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเองทั้ง 2 พระองค์ เวลานั้นสมเด็จพระนเรศวรพระชันษาได้ 19 ปี เห็นจะได้เป็นตำแหน่ง เช่น เสนาธิการในกองทัพ แต่เมื่อยกไปถึงหนองบัวด่านของเมืองเวียงจันทน์ เผอิญสมเด็จพระนเรศวรไปประชวรออกทรพิษพระเจ้าหงสาวดีทรงทราบก็ตรัสอนุญาตให้กองทัพไทยกลับมามิต้องรบพุ่ง พระเจ้าหงสาวดีได้เมืองเวียงจันทน์แล้วก็ตั้งให้อุปราชเดิม ซึ่งได้ตัวไปไว้เมืองหงสาวดีตั้งแต่พระมหาอุปราชาตีเมืองครั้งแรกนั้น ครองอาณาเขตล้านช้างเป็นประเทศราช ขึ้นต่อกรุงหงสาวดีต่อมา ...”
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับประวัติความเป็นมาของอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็เนื่องมาจากพระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (จิตร จิต ตะยโศธร) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นเขยเมืองหนองบัวลำภูได้เอาใจใส่ในสภาพความเป็นอยู่ของอำเภอหนองบัวลำภูเสมอ คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินจังหวัดอุดรธานี เจ้าคุณอุดธานีได้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงทราบว่าเมืองหนองบัวลำภู เป็นเมืองมาแต่สมัยโบราณปรากฏในพงศาวดารว่าเมื่อ พ.ศ. 2117 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จมากับพระราชบิดา (พระมหาธรรมราชาสมัยที่เป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี) เพื่อไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดีรบกรุงล้านช้าง พอยกทัพมาถึงตำบลหนองบัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประชวรเป็นไข้ทรพิษ พระเจ้าหงสาวดีจึงให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา เพื่อเป็นเครื่องระลึกและอนุสรณ์แห่งอำเภอหนองบัวลำภู ควรได้สร้างพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ที่ตำบลหนองบัวลำภู ให้ประชากรและผู้ที่เกิดมาภายหลังได้ทราบและระลึกถึงพระองค์ท่านสืบไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบด้วย
คณะกรรมการได้ปรึกษาตกลงกันให้กรมศิลปากรปั้นพระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในท่ายืนขนาดเท่าพระองค์จริง เมื่อกรมศิลปากรสร้างเสร็จ จึงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์ ที่ศาลริมหนองบัวฝั่งตะวันออก
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ อุทยานแห่งชาติภูเก้าภูพานคำ มีพื้นครอบคลุมอาณาบริเวณรอยต่อสามจังหวัด คือ จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานีแต่แนวเทือกเขาส่วนใหญ่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามจะทอดยาวอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู และที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ อยู่ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปตามเส้นทาง หนองบัวลำภู – ขอนแก่น ระยะทางประมาณ 53 กม. ในอดีตบริเวณสันภูเก้า -ภูพานคำ มีป่าไม้นานาพรรณอุดมสมบูรณ์ด้วยป่ารกชัฏ และมีสัตว์ป่านานาชนิดจำนวนมากมาย แต่ในปัจจุบันสภาพป่าไม้และสัตว์ป่าที่มีอยู่เดิมเบาบางลง เพราะมีการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ จนนับวันละลดน้อยลงและในที่สุดอาจจะไม่มีสภาพเดิมให้เห็นอีก ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องประกาศให้บริเวณภูเก้า - ภูพานคำ ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติเดิม ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าไม้และสัตว์ป่าที่ยังเหลืออยู่ไม่มากนักให้เหลืออยู่เป็นมรดกของชาติตลอดไปอุทยานแห่งชาติภูเก้า - ภูพานคำ มีทัศนียภาพเหนือเขื่อนอุบลรัตน์ จะเป็นจุดกลางของกลุ่มภูเขาสองเทือก คือ ภูเก้า และภูพานคำ กลุ่มภูเขาที่อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเขื่อนมีภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนอยู่จำนวนมาก 9 ลูก คือ ภูฝาง ภูขุมปูน ภูหัน ภูเมย ภูค้อหม้อ ภูซัน ภูเปราะ ภูลวก และภูวัด จึงเรียกว่า “ภูเก้า” ส่วนภูพานคำอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเขื่อน เป็นแนวภูเขาที่เริ่มจากตัวเขื่อนทอดยาวไปทางทิศเหนือจนจดลำน้ำโขงที่หนองคาย ทั้งภูเก้า และภูพานคำ มีตำนานที่ชาวบ้านเล่าติดต่อกันมาเป็นเรื่องราวมากมาย เพราะเขตนี้เป็นเขตป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และมีสัตว์ป่านานาชนิดจำนวนมากดังที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ในเขตอุทยานแห่งชาติภูเก้า ภูพานคำ ยังมีถ้ำที่สวยงามมากมาย เช่น ถ้ำพรานหมา ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความสำคัญถ้ำหนึ่ง เพราะเป็นถ้ำที่ หลวงปู่ขาว อนาลโย พระเถระที่มีชื่อเสียงแห่งวัดถ้ำกลองเพล ได้เคยธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำนี้ เป็นต้น ดังนั้น ทัศนีภาพที่สวยงามจึงเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวที่นิยมไพร โดยทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง และชาวจังหวัดหนองบัวลำภูมีความภาคภูมิใจเพราะอุทยานแห่งชาติภูเก้า ภูพานคำ เปรียบเสมือนสมบัติที่เหลืออยู่ ที่มีไม่มากนักที่ชาวจังหวัดหนองบัวลำภูหวงแหนไว้ให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานสืบไปชั่วกาลนาน
แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว
แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว “แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว “ หมายถึง แผ่นดินของจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นดินแดนแห่งธรรมะที่ครั้งหนึ่งพระเถระที่มีชื่อเสียง คือ “หลวงปู่ขาว อนาลโย” ได้มาเผยแพร่ธรรมะในแผ่นดินนี้ และได้จำพรรษาตลอดมาที่ “วัดถ้ำกลองเพล” จึงเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง ชาวหนองบัวลำภูจึงภาคภูมิใจ ที่หลวงปู่ขาว ได้มาสร้างแผ่นดินแห่งธรรมะที่คนทั่วไปเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า จากอุดีตจนถึงปัจจุบัน หลวงปู่ขาว ฉายาว่า อนาลโย ซึ่งมีความหมายว่า ขาวบริสุทธิ์ คือ กายกับใจของท่านบริสุทธิ์ สมกับนามเดิมของท่านชื่อ “ขาว” โคระถา เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ณ บ้านบ่อชะแนง ตำบลหนองแก้ว อำเภออำนาจเจริญ (ปัจจุบันจังหวัดอำนาจเจริญ) จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 7 คน หลวงปู่ขาวเป็นบุตรคนที่ 4 ของ นายพั่ว และ นางลอด โคระถา เมื่ออายุประมาณ 20 ปี ได้สมรสกับนางมี มีบุตรธิดาด้วยกัน 7 คน ภายหลังการครองเพศฆราวาสไม่ราบรื่น เพราะภรรยาไม่ตั้งอยู่ในความสันโดษทำให้ครอบครัวมีปัญหาจึงตัดสินใจออกบวช เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2462 ที่วัดโพธิ์ศรี บ้านบ่อชะแนง ตำบลหนองแก้ว อำเภออำนาจเจริญ โดยมีพระครูพุฒิศักดิ์ เจ้าคณะอำเภออำนาจเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์อยู่จำพรรษา เมื่อศึกษาหลักพระธรรมวินัยที่วัดโพธิ์ศรี ถึง 6 ปี ด้วยความบริสุทธิ์ใจดังที่ตั้งไว้ จึงตัดสินใจกราบลาอุปัชฌาย์จารย์ออกเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน ในปี พ.ศ 2462 ได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ซึ่งในเวลานั้นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตะเถาระได้มาจำพรรษาอยู่ทางภาคเหนือ เช่นกัน จึงได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระอาจารย์มั่นเสมอ บางครั้งได้จำพรรษาด้วย จึงทำให้บารมีเริ่มเกิดขึ้นกับหลวงปู่ขาวตามลำดับ จิตสงบไม่คิดถึงกิเลสตัณหาในอดีตต่อไปจนถึง พ.ศ. 2488 ได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดบ่อชะแนงบ้านเกิด ในระหว่าง พ.ศ. 2496 – 2500 ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดหม้อทอง จังหวัดสกลนคร สุดท้าย ก่อนที่จะเข้าจำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู (เดิมจังหวัดอุดรธานี) บำเพ็ญภาวนาบารมีแก่กล้ายิ่ง เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ จนทำให้วัดถ้ำกลองเพลเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง หลวงปู่ขาว มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 สิริอายุได้ครบ 95 ปี 5 เดือน ถึงแม้ว่าจะมรณภาพไปนานปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงบารมีและคำสอนของหลวงปู่ขาว ยังเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ “หลวงปู่ขาว” จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งดินแดนธรรมะที่ชาวจังหวัดหนองบัวลำภูภาคภูมิใจ และร่วมใจกันผนึกกำลังให้ดินแดนแห่งนี้เป็น “แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว” สืบทอดเป็นมรดกแก่ลูกหลานชาวจังหวัดหนองบัวลำภู ตลอดไป ตำนานวัดถ้ำกลองเพล ณ ที่วัดถ้ำกลองเพลนี้ มีถ้ำเรียกว่า “ถ้ำกลองเพล” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดมีตำนานเล่ากันว่า ในถ้ำนั้นมีกลองเพลใหญ่ประจำถ้ำหนึ่งลูก มีขนาดใหญ่โตมาก ส่วนจะมีมาแต่สมัยใดนั้น ไม่มีใครทราบ คงจะมีมานานนับร้อยปีขึ้นไป จนกลองเพลนั้นมีความคร่ำคร่า ผุพัง แตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นใหญ่ ชิ้นน้อย โดยไม่มีผู้ใดทำลาย พวกนายพรานเที่ยวล่าเนื้อ เวลามาพักนอนในถ้ำยังได้อาศัยเศษไม้ที่แตกกระจัดกระจายจากกลองเพลมาหุงต้มรับประทานกัน ชาวบ้านใกล้เคียงบริเวณนั้นจึงได้พากันให้ชื่อนามถ้ำนั้นว่า ถ้ำกลองเพล ครั้นต่อมามีพระธุดงค์กรรมฐานไปเที่ยวบำเพ็ญธรรมและพักในถ้ำนั้นบ่อย ๆ จนถ้ำนั้นกลายเป็นวัดคือที่อยู่ของพระขึ้นมา จึงพากันให้นามว่า“วัดถ้ำกลองเพล” จวบจนทุกวันนี้
บริเวณถ้ำกลองเพลในปัจจุบันนี้ ประกอบด้วยป่าไม้ที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ เพิงหิน เพิงผา ที่รูปร่างประหลาดและสวยงามมีอาณาเขตกว้างขวางนับร้อยไร่ ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน จึงมีทัศนียภาพที่งดงามมาก
เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ

ผู้ค้นพบและตั้งชื่อถ้ำเอราวัณ หลักฐานในการค้นพบและตั้งชื่อถ้ำแห่งนี้ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้ค้นพบ เป็นคนแรก แรกทีเดียวนั้นถ้ำแห่งนี้เรียกว่า ถ้ำช้าง ตามชื่อของภูเขาถือผาถ้ำช้าง ต่อมา พระครูปลัดฝั้น ปาเรสโก ได้ธุดงค์มาพักปฏิบัติธรรมอยู่ที่เชิงเขา ท่านเห็นเป็นที่เหมาะสมต่อการทำความเพียร จึงได้เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาสร้างเป็นวัดขึ้น เรียกว่า วัดถ้ำช้าง หรือวัดผาถ้ำช้าง ต่อมามีผู้ศรัทธาบริจาคทรัพย์สร้างช้างปั้นเอราวัณเอาไว้ตรงเชิงบันไดขึ้นถ้ำ จึงเรียกวัดเสียใหม่เป็นวัดถ้ำเอราวัณ และเรียกชื่อของถ้ำว่า ถ้ำเอราวัณ เพื่อสอดคล้องกัน ผู้มาเที่ยวมาพบเห็นในระยะหลังจึงเรียกกันอย่างนั้นตามไปด้วย เนื่องจากเป็นชื่อที่ไพเราะมีความหมายตามวรรณกรรมพื้นเมืองของอีสาน เรื่องนางผมหอม ดังนั้น คำว่าถ้ำช้าง ผาถ้ำช้าง หรือวัดถ้ำช้าง จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักกันนักในปัจจุบัน นอกจากคนในพื้นที่ใกล้เคียงและคนเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นมานาน เท่านั้น
ที่ตั้งและลักษณะทั่วไปของถ้ำเอราวัณ ถ้ำเอราวัณตั้งอยู่บนเขาหินแข็ง ชาวบ้านเรียกภูเขาลูกนี้ว่า ผ้าถ้ำช้าง เพราะเมื่อมองจากที่ไกลแล้วภูเขาลูกนี้มีลักษณะเหมือนช้างจอบ (หมอบ) และเมื่อมองจากบริเวณทางเข้าก่อนจะถึงวัสดุจะเห็นหน้าผามีลักษณะเหมือนกับหน้าผากของช้างเหตุที่เรียกกันอย่างนั้น เพราะชาวบ้านเมืองแถบนี้มักเรียกชื่อภูเขาต่าง ๆ ที่พบเห็นตามลักษณะ เช่น ภูเขา ที่มีหินสีขาวอยู่หน้าผาเหมือนผู้หญิงยืนก็เรียกว่า ผานาง ภูเขาที่มีช่องมีโพรงคล้ายถูกขุดเจาะจนทะลุ ก็เรียกว่า “ผาเจาะ” ภูเขาที่มีต้นยาเกิดอยู่มากก็เรียก ผายา เป็นต้น ส่วนบนของผาถ้ำช้างเป็นหินแข็งแหลมคมขรุขระเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย มีถ้ำกระจายอยู่ทั่วไป แต่ไม่ใหญ่โตสวยงามอย่างวัดถ้ำเอราวัณ ซึ่งโดยมากเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงค้างคาว
ภูเขาผาถ้ำช้างที่ตั้งของถ้ำเอราวัณนั้น เป็นภูเขาที่ไม่สูงมากนัก ทอดตัวยาวสลับซับซ้อนกั้นเขตแดนของสองจังหวัดเอาไว้ คือ อยู่รอยต่อของอำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย กับอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู
พระอนุสาวรีย์และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอำเภอเมือง จ.หนองบัวลำภู
พระอนุสาวรีย์และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จยกกองทัพมาที่หนองบัวลำภูเมื่อปี พ.ศ. 2117 เพื่อไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดี ที่กรุงศรีสัตตนาคนหุต (เมืองเวียงจันทน์) เนื่องจากขณะนั้นไทยเป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระประชวร พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงทรงให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะริมหนองบัว หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองหนองบัวลำภู ในวันที่ 25 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีงานเฉลิมฉลองและพิธีถวายสักการะดวงวิญญาณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ศูนย์หัตถกรรมปั้นหม้อบ้านโค้งสวรรค์อำเภอเมือง จ.หนองบัวลำภู
ศูนย์หัตถกรรมปั้นหม้อบ้านโค้งสวรรค์ ห่างจากตัวเมืองหนองบัวลำภูไปทางจังหวัดอุดรธานีประมาณ 17 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 210 เป็นหมู่บ้านที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาด้วยกรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม
วนอุทยานน้ำตกเฒ่าโต้อำเภอ จ.หนองบัวลำภู
วนอุทยานน้ำตกเฒ่าโต้ ตั้งอยู่ริมถนนหนองบัวลำภู-อุดรธานี ทางหลวงหมายเลข 210 จากตัวเมืองไปทางจังหวัดอุดรธานี ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนร่มรื่นไปด้วยป่าไม้นานาพรรณ และโขดหินรูปต่างๆ บริเวณใกล้เคียงมีศาลเจ้า “ปู่หลุบ” ซึ่งเป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวหนองบัวลำภู และผู้ที่เดินทางผ่านไปมา
พิพิธภัณฑ์หอยหินโบราณอำเภอเมือง จ.หนองบัวลำภู
พิพิธภัณฑ์หอยหินโบราณ ตั้งอยู่ในบริเวณเนินเขา ที่ขุดค้นพบหอย บางส่วนนำไปจัดแสดงไว้ในอาคารพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังพบซากหอยดึกดำบรรพ์ยุคจูราสสิค มีอายุราว 140–150 ล้านปี ลักษณะเป็นรูปหอยอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จำนวนมาก ภายในบริเวณใกล้เคียงยังพบซากกระดูกจระเข้โบราณ เศษหินจาไมก้าและแร่ธาตุบางชนิดอีกด้วย การเดินทางนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถโดยสารประจำทางสายหนองบัวลำภู-อุดรธานี ซึ่งจะใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 210 (หนองบัวลำภู-อุดรธานี) ประมาณ 10 กิโลเมตร จะถึงหมู่บ้านห้วยเดื่อ ต.โนนทัน อยู่ทางด้านซ้ายมือ และเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร จะถึงบริเวณที่พบซากหอยโบราณ
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำอำเภอโนนสัง จ.หนองบัวลำภู
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2538 ครอบคลุมพื้นที่ 333 ตารางกิโลเมตร โดยมีที่ทำการอุทยานฯ อยู่ที่ริมทะเลสาบเหนือเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดขอนแก่นเชิงเขาภูพานคำ เขตอำเภอโนนสัง มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 3 แห่ง คือ ภูพานคำและภูเก้าภูพานคำ เป็นทิวเขาด้านตะวันออกของลุ่มน้ำพอง และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ตอนบนมีทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบเหนือเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะพักแรมโดยเต็นท์ หรือที่บ้านพักของอุทยานฯ หรือที่ศาลาพักแรมของกรมประชาสงเคราะห์ บริเวณทะเลสาบท้ายเขื่อนอุบลรัตน์ ภูพานคำนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งตกปลาที่มีชื่อเสียงของจังหวัดด้วยภูเก้า ประกอบด้วยภูเขา 9 ลูก คือ ภูฝาง ภูขุมปูน ภูหัน ภูเมย ภูค้อหม้อ ภูชั้น ภูเพราะ ภูลวก และภูวัด ภูทั้ง 9 ลูกนี้มีความสลับซับซ้อนมาก ประกอบด้วยป่าไม้ สัตว์ป่านานาชนิด ถ้ำ น้ำตก ลานหินลาด และหินลักษณะแปลกๆ คล้ายปราสาทถ้ำพลาไฮ มีภาพเขียนรูปฝ่ามือ และภาพแกะสลักของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และศาลาบนยอดหินที่เรียกว่า หอสวรรค์ สามารถชมวิวได้ นอกจากนี้บริเวณภูเก้ายังมีวัดพระพุทธบาทภูเก้า ซึ่งปรากฏรอยเท้าคน และสุนัขขนาดใหญ่สลักบนหิน อันเกี่ยวโยงกับนิทานพื้นบ้านเรื่อง “พระสุพรหมวิโมขา กับหมาเก้าหาง” และตามผนังถ้ำบริเวณวัดยังมีภาพเขียนสี ภาพสลักสมัยก่อนประวัติศาสตร์การเดินทาง ไปยังอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ สามารถเดินทางไปได้ 2 ทาง คือเส้นทางที่ 1 ตามเส้นทางสายขอนแก่น-เขื่อนอุบลรัตน์ จากตัวเมืองขอนแก่นถึงตลาดอำเภออุบลรัตน์ ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ต่อด้วยรถยนต์โดยสารประจำทางสายเขื่อนอุบลรัตน์-โนนสัง ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร เส้นทางที่ 2 จากตัวเมืองตามทางหลวงหมายเลข 3146 สายหนองบัวลำภู-โนนสัง ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร ถึงสามแยกบ้านโสกจาน จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางสายบ้านโสกจาน-เขื่อนอุบลรัตน์ ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร สถานที่พักติดต่อได้ที่สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช บางเขน กรุงเทพฯ
ถำสุวรรณคูหาาอำเภอสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู
ถ้ำสุวรรณคูหา ตั้งอยู่ที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา บ้านคูหาพัฒนา หมู่ที่ 7 ตำบลนาสี ภายในถ้ำมีโบราณวัตถุ และรูปพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งเมืองเวียงจันทน์ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำ การเดินทางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 210 สายหนองบัวลำภู-วังสะพุง แล้วแยกขวาไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2097 ถึงอำเภอสุวรรณคูหา จากนั้นใช้ถนนพระไชยเชษฐาไปประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงโรงเรียนบ้านนาตาแหลว แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร
แหล่งโบราณคดีภูผายาอำเภอสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู
แหล่งโบราณคดีภูผายา ตั้งอยู่ทางเหนือของบ้านนาเจริญ ตำบลดงมะไฟ เป็นภูเขาหินปูนที่แยกตัวออกมาจากเทือกเขาภูพานมีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏตามผนังถ้ำเป็นจำนวนหลายส่วน ส่วนแรกบริเวณ “ถ้ำล่าง” พบกลุ่มภาพเขียนสีแดงบนผนังถ้ำผิวเรียบยาวประมาณ 5 เมตร ประกอบด้วยลวดลายเรขาคณิต ภาพสัตว์ ภาพฝ่ามือ ส่วนที่สองคือ “ถ้ำบน” พบภาพเขียนสีแดงกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆ ที่เห็นชัดเจนเป็นภาพสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ภาพคน ภาพสัตว์เลื้อยคลาน ภาพโครงร่างสัตว์ขนาดใหญ่ นอกจากนั้นบริเวณถ้ำผายา ยังมีสำนักสงฆ์อันเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านตั้งอยู่ด้วย สันนิษฐานว่าภาพเขียนถ้ำภูผายามีอายุระหว่าง 2,000-3,000 ปี ใกล้เคียงกับอายุของภาพเขียนที่ค้นพบที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ลักษณะภาพเขียนคล้ายคลึงกับที่พบที่ผาลาย มณฑลกวางสี ประเทศจีนการเดินทาง ไปแหล่งโบราณคดีภูผายา จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 210 สายหนองบัวลำภู-วังสะพุง จากนั้นแยกขวาเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 2097 ถึงอำเภอสุวรรณคูหา แล้วใช้รถโดยสารประจำทางท้องถิ่นสายอำเภอสุวรรณคูหา-บ้านนาเจริญ
แหล่งที่มา
http://www.siamfreestyle.com/forum/index.php?showtopic=513
http://www.siamfreestyle.com/forum/index.php?showtopic=514
http://www.konnongbua.com/nb/images/stories/story/ph9-2.jpg
http://www.konnongbua.com/nb/images/stories/story/narasurn2.jpg
http://www.konnongbua.com/nb/images/stories/story/erawan.jpg
http://irrigation.rid.go.th/rid5/web-bua/_private/globe1.htm


