วันครู 16 ม.ค

เพลงวันปีใหม่จ้าๆๆๆๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดหนองบัวลำภู


หนองบัวลำภู
ประวัติศาสตร์ จังหวัดหนองบัวลำภู
ประวัติความเป็นมา จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นชุมชนเมืองเล็ก ๆ กระจายกันอยู่ทั่วไปมีหลักฐานที่ค้นพบปรากฏให้เห็นเด่นชัด ได้แก่ แหล่งโบราณคดีโนนพร้าว บ้านกุดคอเมย ต.กุดดู่ และบ้านกุดกวางสร้อย ต. บ้านถิ่น อ.โนนสัง ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ ภาชนะดินเผาทั้งแบบผิวเรียบและแบบตกแต่งผิวด้วยการเขียนสีและลวดลายต่าง ๆ แวดินเผา หินบดเผาเครื่องมือเหล็ก เครื่องประดับสำริด อายุประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว ยุคประวัติศาสตร์ มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ค้นพบโบราณวัตถุสมัยทวาราวดี เช่น ใบเสมาหินทรายวัดพระธาตุเมืองพิณ อ.นากลาง และใบเสมาหินทรายวัดป่าโนนคำวิเวก อ.สุวรรคูหาจนถึงสุโขทัยเมื่อสิ้นสมัยวัฒนธรรมขอมก็ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมไทยลาว (ล้านช้าง) เข้ามาแทนที่ประมาณ ปี พ.ศ. 2106 พระไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) ได้นำผู้คนอพยพมาอยู่อาศัยได้สร้างพระพุทธรูปและศิลาจารึกไว้ที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา อ.สุวรรณคูหา และได้มาสร้างพระพุทธรูป วิหาร และขุดบ่อน้ำในบริเวณวัดในหรือวัดศรีคูณเมืองและยกฐานะขึ้นเป็นเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ซึ่งคนทั่วไปนิยมเรียกว่า "เมืองหนองบัวลุ่มภู" ในสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2117 ในระหว่างที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 ให้แก่พม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขณะนั้นพระชนมายุได้ 19 พรรษา ครองเมืองพิษณุโลกอยู่ ได้ตามเสด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา นำกองทัพพักแรมที่บริเวณริมหนองบัวแห่งนี้ สมเด็จพระนเรศวรได้ประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงยกทัพกลับ สมัยพระวอ พระตาครองเมือง พ.ศ. 2292 พระยาวรราชภักดีและพระตาดวงสา ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านหินโงม นครเวียงจันทร์ได้อพยพหนีข้ามลำน้ำโขง พาขุนศึกลูกพี่ลูกน้องและไพร่พลสมัครพรรคพวกที่อยู่ในความปกครองของตน มาตั้งหลักปักฐานสร้างเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ขึ้นใหม่ประมาณปี พ.ศ. 2302 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.2321 พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ให้เจ้าพระยาจักรียกกองทัพขึ้นมาช่วยพระตา-พระวอราชภักดี ขับไล่กองทัพพระเจ้าสิริบุตสารออกไปจากอาณาเขตของไทย แล้วยกกองทัพติดตามเข้าโจมตีเมืองเวียงจันทน์จนได้ชัยชนะ และนำพระแก้วมรกต และพระพุทธรูปปางต่างๆนำกลับมาถวายพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2369 - 2406 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงษ์แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฎยกทัพมายึดเมืองนครราชสีมาทางกรุงเทพฯ จึงส่งกองทัพไทยมาปราบ เจ้าอนุวงษ์ ได้ถอยทัพกลับมาตั้งรับอยู่ที่หนองบัวลำภู ฝ่ายไทยติดตามขับไล่ตามจับเจ้าอนุวงษ์ได้ที่เวียงจันทน์ แล้วนำตัวกลับไปพิจารณาโทษที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2433 สมัยรัชกาลที่ 4 ได้จัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองทางลุ่มน้ำโขงใหม่ โดยให้ข้าหลวงเมืองหนองคายบังคับบัญชา เมืองหนองบัวลุ่มภูขึ้นกับเมืองหนองคาย ต่อมาในช่วงหนองบัวลุ่มภูขึ้นสังกัดอยู่กับหัวเมืองลาวพวน พระประทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคายได้แต่งตั้งพระวิชดยดมกมุทเขต มาครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองกมุทชาสัย" พ.ศ.2449 ได้โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนชื่อเมืองกมุทธาสัยเป็น "เมืองหนองบัวลำภู" ขึ้นอยู่บริเวณหมากแข้ง พ.ศ.2450 ได้โปรดเกล้าฯให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่างๆในบริเวณหมากแข้งตั้งเป็งเมืองจัตวา เรียกว่าเมืองอุดรธานี ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ เมืองหนองบัวลำภูจึงกลายเป็น "อำเภอหนองบัวลำภู" ขึ้นกับจังหวัดอุดรธานี โดยมีพระวิจารณ์กมุทธกิจเป็นนายอำเภอคนแรก เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในด้านการปกครอง การให้บริการของรัฐการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การส่งเสริมให้ท้องถิ่นเจริญยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา จึงได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูตามร่างเสนอของนายเฉลิมพล สนิทวงศ์ชัยและคณะ แล้วประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2536 โดยกระกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 110 ตอนที่ 125 ลงวันที่ 2 กันยายน พุทธศักราช 2536 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลทั่วไป จังหวัดหนองบัวลำภู
หนองบัวลำภู เป็นเมืองโบราณที่มีประวัติยาวนานไม่น้อยกว่า 900 ปี เดิมเป็นดินแดนที่ขึ้นต่อกรุงศรีสัตตนาคนหุต (เวียงจันทน์) มีชื่อว่า“เมืองหนองบัวลุ่มภู นครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน” หนองบัวลำภู ได้รับแต่งตั้งเป็นจังหวัดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2536 เดิมเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี มีพื้นที่ประมาณ 3,859 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ คือ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู โนนสัง ศรีบุญเรือง นากลาง สุวรรณคูหา และ
นาวัง
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดอุดรธานี
• ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดอุดรธานี
• ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดเลย
• ทิศใต้ ติดกับจังหวัดขอนแก่น

การเดินทาง
รถยนต์ จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงจังหวัดสระบุรี บริเวณกิโลเมตรที่ 107 แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี ถึงจังหวัดหนองบัวลำภู รวมระยะทาง 608 กิโลเมตร• รถโดยสารประจำทาง มีทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศที่วิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-หนองบัวลำภูสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ
• รถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดขบวนรถด่วนและรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ทุกวัน เป็นรถไฟที่วิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานี จากนั้นใช้รถโดยสารประจำทางที่วิ่งระหว่างอุดรธานี-หนองบัวลำภู สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางรถไฟได้ที่ หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย
• เครื่องบิน จังหวัดหนองบัวลำภูไม่มีเครื่องบินลง นักท่องเที่ยวสามารถลงได้ที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี ซึ่งบมจ.การบินไทย มีบริการเครื่องบินรับส่งผู้โดยสารระหว่างกรุงเทพฯ-อุดรธานี และอุดรธานี-กรุงเทพฯ ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางการบินได้ที่ บมจ. การบินไทย กรุงเทพฯ ระยะทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอต่างๆอำเภอนากลาง 30 กิโลเมตรอำเภอศรีบุญเรือง 33 กิโลเมตรอำเภอโนนสัง 42 กิโลเมตรอำเภอนาวัง 42 กิโลเมตรอำเภอสุวรรณคูหา 65 กิโลเมตร

ประวัติจังหวัดหนองบัวลำภู
ยุคประวัติศาสตร์ มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ค้นพบโบราณวัตถุสมัยทวาราวดี เช่น ใบเสมาหินทรายวัดพระธาตุเมืองพิณ อ.นากลาง และใบเสมาหินทรายวัดป่าโนนคำวิเวก อ.สุวรรคูหาจนถึงสุโขทัยเมื่อสิ้นสมัยวัฒนธรรมขอมก็ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมไทยลาว (ล้านช้าง) เข้ามาแทนที่ประมาณ ปี พ.ศ. 2106 พระไชยเชษฐาธิราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) ได้นำผู้คนอพยพมาอยู่อาศัยได้สร้างพระพุทธรูปและศิลาจารึกไว้ที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา อ.สุวรรณคูหา และได้มาสร้างพระพุทธรูป วิหาร และขุดบ่อน้ำในบริเวณวัดในหรือวัดศรีคูณเมืองและยกฐานะขึ้นเป็นเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า "เมืองหนองบัวลุ่มภู"
ใน
สมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2117 ในระหว่างที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 1 ให้แก่พม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชขณะนั้นพระชนมายุได้ 19 พรรษา ครองเมืองพิษณุโลกอยู่ ได้ตามเสด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา นำกองทัพพักแรมที่บริเวณริมหนองบัวแห่งนี้ สมเด็จพระนเรศวรได้ประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงยกทัพกลับ
สมัยพระวอพระตาครองเมือง พ.ศ. 2292 พระยาวรราชภักดีและพระตาดวงสา ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่บ้านหินโงม นครเวียงจันทร์ได้อพยพหนีข้ามลำน้ำโขง พาขุนศึกลูกพี่ลูกน้องและไพร่พลสมัครพรรคพวกที่อยู่ในความปกครองของตนมาตั้งหลักปักฐานสร้างเมือง "จำปานครกาบแก้วบัวบาน" ขึ้นใหม่ประมาณปี พ.ศ. 2302 ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ.2321 พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ให้เจ้าพระยาจักรียกกองทัพขึ้นมาช่วยพระตาพระวรราชภักดี ขับไล่กองทัพพระเจ้าสิริบุตสารออกไปจากอาณาเขตของไทยแล้วยกกองทัพติดตามเข้าโจมตีเมืองเวียงจันทน์จนได้ชัยชนะ และนำพระแก้วมรกต และพระพุทธรูปปางต่างๆนำกลับมาถวายพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี
สมัยรันตโกสินทร์ พ.ศ. 2369 - 2406 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงษ์แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฎยกทัพมายึดเมืองนครราชสีมาทางกรุงเทพฯ จึงส่งกองทัพไทยมาปราบ เจ้าอนุวงษ์ ได้ถอยทัพกลับมาตั้งรับอยู่ที่หนองบัวลำภู ฝ่ายไทยติดตามขับไล่ตามจับเจ้าอนุวงษ์ได้ที่เวียงจันทน์ แล้วนำตัวกลับไปพิจารณาโทษที่กรุงเทพฯ
พ.ศ. 2433 สมัยรัชกาลที่ 4 ได้จัดระเบียบการปกครองบ้านเมืองทางลุ่มน้ำโขงใหม่ โดยให้ข้าหลวงเมืองหนองคายบังคับบัญชา เมืองหนองบัวลุ่มภูขึ้นกับเมืองหนองคาย ต่อมาในช่วงหนองบัวลุ่มภูขึ้นสังกัดอยู่กับหัวเมืองลาวพวน พระประทุมเทวาภิบาล เจ้าเมืองหนองคายได้แต่งตั้งพระวิชดยดมกมุทเขต มาครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองกมุทชาสัย"
พ.ศ.2449 ได้โปรดเกล้าฯให้เปลี่ยนชื่อเมืองกมุทธาสัยเป็น "เมืองหนองบัวลำภู" ขึ้นอยู่บริเวณหมากแข้ง
พ.ศ.2450 ได้โปรดเกล้าฯให้กระทรวงมหาดไทยรวมเมืองต่างๆในบริเวณหมากแข้งตั้งเป็งเมืองจัตวา เรียกว่าเมืองอุดรธานี ส่วนเมืองในสังกัดบริเวณให้มีฐานะเป็นอำเภอ เมืองหนองบัวลำภูจึงกลายเป็น "อำเภอหนองบัวลำภู" ขึ้นกับจังหวัดอุดรธานี โดยมีพระวิจารณ์กมุทธกิจเป็นนายอำเภอคนแรก
เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายในการกระจายอำนาจมายังส่วนภูมิภาค เพื่อประโยชน์ในด้านการปกครอง การให้บริการของรัฐการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การส่งเสริมให้ท้องถิ่นเจริญยิ่งขึ้น คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา จึงได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูตามร่างเสนอของนายเฉลิมพล สนิทวงศ์ชัยและคณะ แล้วประกาศจัดตั้งเป็นจังหวัดหนองบัวลำภู ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2536 โดยกระกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 110 ตอนที่ 125 ลงวันที่ 2 กันยายน พุทธศักราช 2536 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน



ตราประจำจังหวัด
1. ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อ พ.ศง 2117 สมเด็จพระนเศวรมหาราชได้ตามเสด็จสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดา เพื่อยกกองทัพไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) และประทับพักแรมที่ริมหนองบัวลำภูอยู่ระยะหนึ่ง จนเกิดประชวรเป็นไข้ทรพิษ จึงเสด็จยกทัพกลับ ชาวหนองบัวลำภูจึงได้ร่วมใจกันสร้างศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้สักการะ
2. พระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งความจริงนั้นทรงประทับยืนอยู่ภายในศาล พระหัตถ์ซ้ายทรงพระแสงดาบ ดวงตราที่ออกแบบให้ประทับยืนอยู่หน้าศาล เพื่อจะเน้นให้เห็นเด่นชัดเป็นประธานของดวงตรา โดยมีศาลอยู่ด้านหลัง
3. หนองบัว เพื่อแสดงให้เห็นว่าศาลสมเด็จพระนเศวรมหาราช ตั้งอยู่ริมฝั่งหนองบัว
4. ภูเขา เป็นจังหวัดที่มีภูเขาป่าไม้อันได้แก่ เทือกเขาภูพาน ซึ่งมีธรรมชาติที่สวยงาม หนองบัวลำภูนั้นเดิมชื่อหนองบัวลุ่มภู คือเป็นหนองบัวที่อยู่ในลุ่มภูเขา
5. ชื่อจังหวัดบนผืนผ้า หมายถึง จังหวัดที่มีหัตถกรรมทอผ้าพื้นเมืองเป็นหลักส่วนชายทั้งสองข้างที่ผูกเป็นปมหมายถึงความสามัคคีที่ผูกพันแน่นแฟ้นของชาวจังหวัดหนองบัวลำภู

ต้นไม้ประจำจังหวัด
พยุง หรือ พยูง

คำขวัญประจำจังหวัด
ศาลสมด็จประนเศวรมหาราช
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ

แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว
เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน


ลักษณะภูมิประเทศ
จังหวัดหนองบัวลำภู มีพื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง บางส่วนเป็นพื้นที่ลูกคลื่นลาดตื้นถึงลาดลึก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 200 เมตร ทางตอนบนของจังหวัดจะเป็นพื้นที่ภูเขาสูง แล้วลาดลงไปทางทิศใต้ และทิศตะวันออก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินปนทรายและลูกรังไม่สามารถเก็บกักน้ำหรืออุ้มน้ำในฤดูแล้
ลักษณะภูมิอากาศ
ลักษณะอากาศในจังหวัดหนองบัวลำภู แบ่งออกเป็น 3 ฤดู เช่นเดียวกับจังหวัดอื่น ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว สภาพภูมิอากาศโดยทั่วไปขึ้นอยู่กับมรสุมที่พัดผ่านประจำปี จัดอยู่ในประเภทภูมิอากาศแบบพื้นเมืองร้อนเฉพาะฤดู กล่าวคือ จะมีฝนตกเฉพาะในฤดูฝน สลับกับช่วงแห้งแล้งในฤดูหนาวและฤดูร้อน
1) ฤดูร้อน อยู่ในระหว่างเดือน มีนาคมถึงเมษายน อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 34 - 36 องศาเซลเซียส
2) ฤดูฝน อยู่ในระหว่างเดือน พฤษภาคมถึงตุลาคม และจะตกมากในเดือน สิงหาคม-กันยายน เนื่องจากอิทธิพล

พายุดีเปรสชั่น
3) ฤดูหนาว อยู่ในระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวมากในช่วงเดือนธันวาคม– มกราคม โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ย 15 - 16 องศาเซลเซียส
ปริมาณฝนที่ตกในจังหวัดหนองบัวลำภูโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วงระหว่าง 978.3 - 1,348.9 มิลลิเมตรต่อปี อำเภอสุวรรณคูหา มีปริมาณฝนตกโดยเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ อำเภอนากลาง ส่วนพื้นที่ที่มีฝนตกน้อยที่สุด ได้แก่ อำเภอเมือง ซึ่งมีปริมาณโดยเฉลี่ยประมาณ 978.3 มิลลิเมตรต่อปี
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จากหลักฐานลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ลงวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2478 ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าตอนหนึ่งว่า “...เรื่องตำบลหนองบัวลำภูนั้นเมื่อหม่อมฉันขึ้นไปตรวจราชการมณฑลอุดร ได้สืบถามว่าอยู่ที่ไหน เพราะเห็นเป็นที่สำคัญมีชื่อในพงศาวดารเมื่อครั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ยกกองทัพขึ้นไปช่วยพระเจ้าหงสาวดี ตีกรุงศรีสัตนาคณหุต ได้พาพระนเรศวรราชบุตรไปด้วย เมื่อไปถึงหนองบัวลำภู พระนเรศวรไปประชวรออกทรพิษ พระเจ้าหงสาวดีจึงอนุญาตให้กองทัพไทยยกกลับมา...” และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่ารายละเอียดในพระนิพนธ์ เรื่องประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ว่า “... ถึงปีจอ พ.ศ. 2117 ได้ข่าวไปถึงเมืองหงสาวดี ว่า พระเจ้าไชยเชษฐาเมืองล้านช้าง ไปตีเมืองญวนเลยเป็นอันตรายหายสูญไปและที่เมืองล้านช้างเกิดชิงราชสมบัติกัน พระเจ้าหงสาวดีเห็นได้ทีก็ยกกองทัพหลวงไปตีเมืองเวียงจันทน์ ครั้งนั้นตรัสสั่งมาให้ไทยยกกองทัพไปสมทบด้วย สมเด็จพระมหาธรรมราชาฯ กับสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเองทั้ง 2 พระองค์ เวลานั้นสมเด็จพระนเรศวรพระชันษาได้ 19 ปี เห็นจะได้เป็นตำแหน่ง เช่น เสนาธิการในกองทัพ แต่เมื่อยกไปถึงหนองบัวด่านของเมืองเวียงจันทน์ เผอิญสมเด็จพระนเรศวรไปประชวรออกทรพิษพระเจ้าหงสาวดีทรงทราบก็ตรัสอนุญาตให้กองทัพไทยกลับมามิต้องรบพุ่ง พระเจ้าหงสาวดีได้เมืองเวียงจันทน์แล้วก็ตั้งให้อุปราชเดิม ซึ่งได้ตัวไปไว้เมืองหงสาวดีตั้งแต่พระมหาอุปราชาตีเมืองครั้งแรกนั้น ครองอาณาเขตล้านช้างเป็นประเทศราช ขึ้นต่อกรุงหงสาวดีต่อมา ...”
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับประวัติความเป็นมาของอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็เนื่องมาจากพระยาอุดรธานีศรีโขมสาครเขตต์ (จิตร จิต ตะยโศธร) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นเขยเมืองหนองบัวลำภูได้เอาใจใส่ในสภาพความเป็นอยู่ของอำเภอหนองบัวลำภูเสมอ คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินจังหวัดอุดรธานี เจ้าคุณอุดธานีได้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงทราบว่าเมืองหนองบัวลำภู เป็นเมืองมาแต่สมัยโบราณปรากฏในพงศาวดารว่าเมื่อ พ.ศ. 2117 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จมากับพระราชบิดา (พระมหาธรรมราชาสมัยที่เป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี) เพื่อไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดีรบกรุงล้านช้าง พอยกทัพมาถึงตำบลหนองบัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประชวรเป็นไข้ทรพิษ พระเจ้าหงสาวดีจึงให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา เพื่อเป็นเครื่องระลึกและอนุสรณ์แห่งอำเภอหนองบัวลำภู ควรได้สร้างพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้ที่ตำบลหนองบัวลำภู ให้ประชากรและผู้ที่เกิดมาภายหลังได้ทราบและระลึกถึงพระองค์ท่านสืบไป ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบด้วย
คณะกรรมการได้ปรึกษาตกลงกันให้กรมศิลปากรปั้นพระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในท่ายืนขนาดเท่าพระองค์จริง เมื่อกรมศิลปากรสร้างเสร็จ จึงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์ ที่ศาลริมหนองบัวฝั่งตะวันออก


อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ อุทยานแห่งชาติภูเก้าภูพานคำ มีพื้นครอบคลุมอาณาบริเวณรอยต่อสามจังหวัด คือ จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดอุดรธานีแต่แนวเทือกเขาส่วนใหญ่ที่มีทัศนียภาพอันงดงามจะทอดยาวอยู่ในเขตพื้นที่อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู และที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ อยู่ในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปตามเส้นทาง หนองบัวลำภู – ขอนแก่น ระยะทางประมาณ 53 กม. ในอดีตบริเวณสันภูเก้า -ภูพานคำ มีป่าไม้นานาพรรณอุดมสมบูรณ์ด้วยป่ารกชัฏ และมีสัตว์ป่านานาชนิดจำนวนมากมาย แต่ในปัจจุบันสภาพป่าไม้และสัตว์ป่าที่มีอยู่เดิมเบาบางลง เพราะมีการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติ จนนับวันละลดน้อยลงและในที่สุดอาจจะไม่มีสภาพเดิมให้เห็นอีก ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องประกาศให้บริเวณภูเก้า - ภูพานคำ ซึ่งเป็นป่าสงวนแห่งชาติเดิม ให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ทั้งนี้ เพื่อต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งป่าไม้และสัตว์ป่าที่ยังเหลืออยู่ไม่มากนักให้เหลืออยู่เป็นมรดกของชาติตลอดไป
อุทยานแห่งชาติภูเก้า - ภูพานคำ มีทัศนียภาพเหนือเขื่อนอุบลรัตน์ จะเป็นจุดกลางของกลุ่มภูเขาสองเทือก คือ ภูเก้า และภูพานคำ กลุ่มภูเขาที่อยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเขื่อนมีภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนอยู่จำนวนมาก 9 ลูก คือ ภูฝาง ภูขุมปูน ภูหัน ภูเมย ภูค้อหม้อ ภูซัน ภูเปราะ ภูลวก และภูวัด จึงเรียกว่า “ภูเก้า” ส่วนภูพานคำอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเขื่อน เป็นแนวภูเขาที่เริ่มจากตัวเขื่อนทอดยาวไปทางทิศเหนือจนจดลำน้ำโขงที่หนองคาย ทั้งภูเก้า และภูพานคำ มีตำนานที่ชาวบ้านเล่าติดต่อกันมาเป็นเรื่องราวมากมาย เพราะเขตนี้เป็นเขตป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และมีสัตว์ป่านานาชนิดจำนวนมากดังที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ในเขตอุทยานแห่งชาติภูเก้า ภูพานคำ ยังมีถ้ำที่สวยงามมากมาย เช่น ถ้ำพรานหมา ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความสำคัญถ้ำหนึ่ง เพราะเป็นถ้ำที่ หลวงปู่ขาว อนาลโย พระเถระที่มีชื่อเสียงแห่งวัดถ้ำกลองเพล ได้เคยธุดงค์มาบำเพ็ญภาวนาที่ถ้ำนี้ เป็นต้น ดังนั้น ทัศนีภาพที่สวยงามจึงเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวที่นิยมไพร โดยทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง และชาวจังหวัดหนองบัวลำภูมีความภาคภูมิใจเพราะอุทยานแห่งชาติภูเก้า ภูพานคำ เปรียบเสมือนสมบัติที่เหลืออยู่ ที่มีไม่มากนักที่ชาวจังหวัดหนองบัวลำภูหวงแหนไว้ให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานสืบไปชั่วกาลนาน

แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว

แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว “แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว “ หมายถึง แผ่นดินของจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นดินแดนแห่งธรรมะที่ครั้งหนึ่งพระเถระที่มีชื่อเสียง คือ “หลวงปู่ขาว อนาลโย” ได้มาเผยแพร่ธรรมะในแผ่นดินนี้ และได้จำพรรษาตลอดมาที่ “วัดถ้ำกลองเพล” จึงเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง ชาวหนองบัวลำภูจึงภาคภูมิใจ ที่หลวงปู่ขาว ได้มาสร้างแผ่นดินแห่งธรรมะที่คนทั่วไปเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า จากอุดีตจนถึงปัจจุบัน หลวงปู่ขาว ฉายาว่า อนาลโย ซึ่งมีความหมายว่า ขาวบริสุทธิ์ คือ กายกับใจของท่านบริสุทธิ์ สมกับนามเดิมของท่านชื่อ “ขาว” โคระถา เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ณ บ้านบ่อชะแนง ตำบลหนองแก้ว อำเภออำนาจเจริญ (ปัจจุบันจังหวัดอำนาจเจริญ) จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 7 คน หลวงปู่ขาวเป็นบุตรคนที่ 4 ของ นายพั่ว และ นางลอด โคระถา เมื่ออายุประมาณ 20 ปี ได้สมรสกับนางมี มีบุตรธิดาด้วยกัน 7 คน ภายหลังการครองเพศฆราวาสไม่ราบรื่น เพราะภรรยาไม่ตั้งอยู่ในความสันโดษทำให้ครอบครัวมีปัญหาจึงตัดสินใจออกบวช เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2462 ที่วัดโพธิ์ศรี บ้านบ่อชะแนง ตำบลหนองแก้ว อำเภออำนาจเจริญ โดยมีพระครูพุฒิศักดิ์ เจ้าคณะอำเภออำนาจเจริญ เป็นพระอุปัชฌาย์อยู่จำพรรษา เมื่อศึกษาหลักพระธรรมวินัยที่วัดโพธิ์ศรี ถึง 6 ปี ด้วยความบริสุทธิ์ใจดังที่ตั้งไว้ จึงตัดสินใจกราบลาอุปัชฌาย์จารย์ออกเที่ยวธุดงค์กรรมฐาน ในปี พ.ศ 2462 ได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ซึ่งในเวลานั้นท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตะเถาระได้มาจำพรรษาอยู่ทางภาคเหนือ เช่นกัน จึงได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระอาจารย์มั่นเสมอ บางครั้งได้จำพรรษาด้วย จึงทำให้บารมีเริ่มเกิดขึ้นกับหลวงปู่ขาวตามลำดับ จิตสงบไม่คิดถึงกิเลสตัณหาในอดีตต่อไปจนถึง พ.ศ. 2488 ได้เดินทางกลับมาจำพรรษาที่วัดบ่อชะแนงบ้านเกิด ในระหว่าง พ.ศ. 2496 – 2500 ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดหม้อทอง จังหวัดสกลนคร สุดท้าย ก่อนที่จะเข้าจำพรรษาที่วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู (เดิมจังหวัดอุดรธานี) บำเพ็ญภาวนาบารมีแก่กล้ายิ่ง เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ จนทำให้วัดถ้ำกลองเพลเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปอย่างกว้างขวาง หลวงปู่ขาว มรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 สิริอายุได้ครบ 95 ปี 5 เดือน ถึงแม้ว่าจะมรณภาพไปนานปีแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียงบารมีและคำสอนของหลวงปู่ขาว ยังเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ “หลวงปู่ขาว” จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งดินแดนธรรมะที่ชาวจังหวัดหนองบัวลำภูภาคภูมิใจ และร่วมใจกันผนึกกำลังให้ดินแดนแห่งนี้เป็น “แผ่นดินธรรมหลวงปู่ขาว” สืบทอดเป็นมรดกแก่ลูกหลานชาวจังหวัดหนองบัวลำภู ตลอดไป ตำนานวัดถ้ำกลองเพล ณ ที่วัดถ้ำกลองเพลนี้ มีถ้ำเรียกว่า “ถ้ำกลองเพล” ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดมีตำนานเล่ากันว่า ในถ้ำนั้นมีกลองเพลใหญ่ประจำถ้ำหนึ่งลูก มีขนาดใหญ่โตมาก ส่วนจะมีมาแต่สมัยใดนั้น ไม่มีใครทราบ คงจะมีมานานนับร้อยปีขึ้นไป จนกลองเพลนั้นมีความคร่ำคร่า ผุพัง แตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นใหญ่ ชิ้นน้อย โดยไม่มีผู้ใดทำลาย พวกนายพรานเที่ยวล่าเนื้อ เวลามาพักนอนในถ้ำยังได้อาศัยเศษไม้ที่แตกกระจัดกระจายจากกลองเพลมาหุงต้มรับประทานกัน ชาวบ้านใกล้เคียงบริเวณนั้นจึงได้พากันให้ชื่อนามถ้ำนั้นว่า ถ้ำกลองเพล ครั้นต่อมามีพระธุดงค์กรรมฐานไปเที่ยวบำเพ็ญธรรมและพักในถ้ำนั้นบ่อย ๆ จนถ้ำนั้นกลายเป็นวัดคือที่อยู่ของพระขึ้นมา จึงพากันให้นามว่า
“วัดถ้ำกลองเพล” จวบจนทุกวันนี้
บริเวณถ้ำกลองเพลในปัจจุบันนี้ ประกอบด้วยป่าไม้ที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์ เพิงหิน เพิงผา ที่รูปร่างประหลาดและสวยงามมีอาณาเขต
กว้างขวางนับร้อยไร่ ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูพาน จึงมีทัศนียภาพที่งดงามมาก
เด่นสกาวถ้ำเอราวัณ

ผู้ค้นพบและตั้งชื่อถ้ำเอราวัณ หลักฐานในการค้นพบและตั้งชื่อถ้ำแห่งนี้ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้ค้นพบ เป็นคนแรก แรกทีเดียวนั้นถ้ำแห่งนี้เรียกว่า ถ้ำช้าง ตามชื่อของภูเขาถือผาถ้ำช้าง ต่อมา พระครูปลัดฝั้น ปาเรสโก ได้ธุดงค์มาพักปฏิบัติธรรมอยู่ที่เชิงเขา ท่านเห็นเป็นที่เหมาะสมต่อการทำความเพียร จึงได้เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาสร้างเป็นวัดขึ้น เรียกว่า วัดถ้ำช้าง หรือวัดผาถ้ำช้าง ต่อมามีผู้ศรัทธาบริจาคทรัพย์สร้างช้างปั้นเอราวัณเอาไว้ตรงเชิงบันไดขึ้นถ้ำ จึงเรียกวัดเสียใหม่เป็นวัดถ้ำเอราวัณ และเรียกชื่อของถ้ำว่า ถ้ำเอราวัณ เพื่อสอดคล้องกัน ผู้มาเที่ยวมาพบเห็นในระยะหลังจึงเรียกกันอย่างนั้นตามไปด้วย เนื่องจากเป็นชื่อที่ไพเราะมีความหมายตามวรรณกรรมพื้นเมืองของอีสาน เรื่องนางผมหอม ดังนั้น คำว่าถ้ำช้าง ผาถ้ำช้าง หรือวัดถ้ำช้าง จึงไม่ค่อยมีใครรู้จักกันนักในปัจจุบัน นอกจากคนในพื้นที่ใกล้เคียงและคนเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นมานาน เท่านั้น
ที่ตั้งและลักษณะทั่วไปของถ้ำเอราวัณ ถ้ำเอราวัณตั้งอยู่บนเขาหินแข็ง ชาวบ้านเรียกภูเขาลูกนี้ว่า ผ้าถ้ำช้าง เพราะเมื่อมองจากที่ไกลแล้วภูเขาลูกนี้มีลักษณะเหมือนช้างจอบ (หมอบ) และเมื่อมองจากบริเวณทางเข้าก่อนจะถึงวัสดุจะเห็นหน้าผามีลักษณะเหมือนกับหน้าผากของช้างเหตุที่เรียกกันอย่างนั้น เพราะชาวบ้านเมืองแถบนี้มักเรียกชื่อภูเขาต่าง ๆ ที่พบเห็นตามลักษณะ เช่น ภูเขา ที่มีหินสีขาวอยู่หน้าผาเหมือนผู้หญิงยืนก็เรียกว่า ผานาง ภูเขาที่มีช่องมีโพรงคล้ายถูกขุดเจาะจนทะลุ ก็เรียกว่า “ผาเจาะ” ภูเขาที่มีต้นยาเกิดอยู่มากก็เรียก ผายา เป็นต้น ส่วนบนของผาถ้ำช้างเป็นหินแข็งแหลมคมขรุขระเป็นก้อนเล็กก้อนน้อย มีถ้ำกระจายอยู่ทั่วไป แต่ไม่ใหญ่โตสวยงามอย่างวัดถ้ำเอราวัณ ซึ่งโดยมากเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงค้างคาว
ภูเขาผาถ้ำช้างที่ตั้งของถ้ำเอราวัณนั้น เป็นภูเขาที่ไม่สูงมากนัก ทอดตัวยาวสลับซับซ้อนกั้นเขตแดนของสองจังหวัดเอาไว้ คือ อยู่รอยต่อของอำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย กับอำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู

พระอนุสาวรีย์และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอำเภอเมือง จ.หนองบัวลำภู
พระอนุสาวรีย์และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จยกกองทัพมาที่หนองบัวลำภูเมื่อปี พ.ศ. 2117 เพื่อไปช่วยพระเจ้ากรุงหงสาวดี ที่กรุงศรีสัตตนาคนหุต (เมืองเวียงจันทน์) เนื่องจากขณะนั้นไทยเป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดี แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงพระประชวร พระเจ้ากรุงหงสาวดีจึงทรงให้ยกทัพกลับกรุงศรีอยุธยา สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะริมหนองบัว หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองหนองบัวลำภู ในวันที่ 25 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี จะมีงานเฉลิมฉลองและพิธีถวายสักการะดวงวิญญาณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ศูนย์หัตถกรรมปั้นหม้อบ้านโค้งสวรรค์อำเภอเมือง จ.หนองบัวลำภู
ศูนย์หัตถกรรมปั้นหม้อบ้านโค้งสวรรค์ ห่างจากตัวเมืองหนองบัวลำภูไปทางจังหวัดอุดรธานีประมาณ 17 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 210 เป็นหมู่บ้านที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาด้วยกรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม
วนอุทยานน้ำตกเฒ่าโต้อำเภอ จ.หนองบัวลำภู
วนอุทยานน้ำตกเฒ่าโต้ ตั้งอยู่ริมถนนหนองบัวลำภู-อุดรธานี ทางหลวงหมายเลข 210 จากตัวเมืองไปทางจังหวัดอุดรธานี ประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นสถานที่พักผ่อนร่มรื่นไปด้วยป่าไม้นานาพรรณ และโขดหินรูปต่างๆ บริเวณใกล้เคียงมีศาลเจ้า “ปู่หลุบ” ซึ่งเป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวหนองบัวลำภู และผู้ที่เดินทางผ่านไปมา
พิพิธภัณฑ์หอยหินโบราณอำเภอเมือง จ.หนองบัวลำภู
พิพิธภัณฑ์หอยหินโบราณ ตั้งอยู่ในบริเวณเนินเขา ที่ขุดค้นพบหอย บางส่วนนำไปจัดแสดงไว้ในอาคารพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีการจัดแสดงนิทรรศการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังพบซากหอยดึกดำบรรพ์ยุคจูราสสิค มีอายุราว 140–150 ล้านปี ลักษณะเป็นรูปหอยอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จำนวนมาก ภายในบริเวณใกล้เคียงยังพบซากกระดูกจระเข้โบราณ เศษหินจาไมก้าและแร่ธาตุบางชนิดอีกด้วย การเดินทางนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถโดยสารประจำทางสายหนองบัวลำภู-อุดรธานี ซึ่งจะใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 210 (หนองบัวลำภู-อุดรธานี) ประมาณ 10 กิโลเมตร จะถึงหมู่บ้านห้วยเดื่อ ต.โนนทัน อยู่ทางด้านซ้ายมือ และเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร จะถึงบริเวณที่พบซากหอยโบราณ
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำอำเภอโนนสัง จ.หนองบัวลำภู
อุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ จัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2538 ครอบคลุมพื้นที่ 333 ตารางกิโลเมตร โดยมีที่ทำการอุทยานฯ อยู่ที่ริมทะเลสาบเหนือเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดขอนแก่นเชิงเขาภูพานคำ เขตอำเภอโนนสัง มีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ 3 แห่ง คือ ภูพานคำและภูเก้าภูพานคำ เป็นทิวเขาด้านตะวันออกของลุ่มน้ำพอง และเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน ตอนบนมีทัศนียภาพที่สวยงามของทะเลสาบเหนือเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะพักแรมโดยเต็นท์ หรือที่บ้านพักของอุทยานฯ หรือที่ศาลาพักแรมของกรมประชาสงเคราะห์ บริเวณทะเลสาบท้ายเขื่อนอุบลรัตน์ ภูพานคำนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและเป็นแหล่งตกปลาที่มีชื่อเสียงของจังหวัดด้วยภูเก้า ประกอบด้วยภูเขา 9 ลูก คือ ภูฝาง ภูขุมปูน ภูหัน ภูเมย ภูค้อหม้อ ภูชั้น ภูเพราะ ภูลวก และภูวัด ภูทั้ง 9 ลูกนี้มีความสลับซับซ้อนมาก ประกอบด้วยป่าไม้ สัตว์ป่านานาชนิด ถ้ำ น้ำตก ลานหินลาด และหินลักษณะแปลกๆ คล้ายปราสาทถ้ำพลาไฮ มีภาพเขียนรูปฝ่ามือ และภาพแกะสลักของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และศาลาบนยอดหินที่เรียกว่า หอสวรรค์ สามารถชมวิวได้ นอกจากนี้บริเวณภูเก้ายังมีวัดพระพุทธบาทภูเก้า ซึ่งปรากฏรอยเท้าคน และสุนัขขนาดใหญ่สลักบนหิน อันเกี่ยวโยงกับนิทานพื้นบ้านเรื่อง “พระสุพรหมวิโมขา กับหมาเก้าหาง” และตามผนังถ้ำบริเวณวัดยังมีภาพเขียนสี ภาพสลักสมัยก่อนประวัติศาสตร์การเดินทาง ไปยังอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ สามารถเดินทางไปได้ 2 ทาง คือเส้นทางที่ 1 ตามเส้นทางสายขอนแก่น-เขื่อนอุบลรัตน์ จากตัวเมืองขอนแก่นถึงตลาดอำเภออุบลรัตน์ ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ต่อด้วยรถยนต์โดยสารประจำทางสายเขื่อนอุบลรัตน์-โนนสัง ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร เส้นทางที่ 2 จากตัวเมืองตามทางหลวงหมายเลข 3146 สายหนองบัวลำภู-โนนสัง ระยะทางประมาณ 40 กิโลเมตร ถึงสามแยกบ้านโสกจาน จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่เส้นทางสายบ้านโสกจาน-เขื่อนอุบลรัตน์ ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร สถานที่พักติดต่อได้ที่สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช บางเขน กรุงเทพฯ
ถำสุวรรณคูหาาอำเภอสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู
ถ้ำสุวรรณคูหา ตั้งอยู่ที่วัดถ้ำสุวรรณคูหา บ้านคูหาพัฒนา หมู่ที่ 7 ตำบลนาสี ภายในถ้ำมีโบราณวัตถุ และรูปพระเจ้าไชยเชษฐาแห่งเมืองเวียงจันทน์ประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำ การเดินทางใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 210 สายหนองบัวลำภู-วังสะพุง แล้วแยกขวาไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2097 ถึงอำเภอสุวรรณคูหา จากนั้นใช้ถนนพระไชยเชษฐาไปประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงโรงเรียนบ้านนาตาแหลว แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร
แหล่งโบราณคดีภูผายาอำเภอสุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู
แหล่งโบราณคดีภูผายา ตั้งอยู่ทางเหนือของบ้านนาเจริญ ตำบลดงมะไฟ เป็นภูเขาหินปูนที่แยกตัวออกมาจากเทือกเขาภูพานมีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏตามผนังถ้ำเป็นจำนวนหลายส่วน ส่วนแรกบริเวณ “ถ้ำล่าง” พบกลุ่มภาพเขียนสีแดงบนผนังถ้ำผิวเรียบยาวประมาณ 5 เมตร ประกอบด้วยลวดลายเรขาคณิต ภาพสัตว์ ภาพฝ่ามือ ส่วนที่สองคือ “ถ้ำบน” พบภาพเขียนสีแดงกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆ ที่เห็นชัดเจนเป็นภาพสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ภาพคน ภาพสัตว์เลื้อยคลาน ภาพโครงร่างสัตว์ขนาดใหญ่ นอกจากนั้นบริเวณถ้ำผายา ยังมีสำนักสงฆ์อันเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านตั้งอยู่ด้วย สันนิษฐานว่าภาพเขียนถ้ำภูผายามีอายุระหว่าง 2,000-3,000 ปี ใกล้เคียงกับอายุของภาพเขียนที่ค้นพบที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี ลักษณะภาพเขียนคล้ายคลึงกับที่พบที่ผาลาย มณฑลกวางสี ประเทศจีนการเดินทาง ไปแหล่งโบราณคดีภูผายา จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 210 สายหนองบัวลำภู-วังสะพุง จากนั้นแยกขวาเข้าสู่เส้นทางหลวงหมายเลข 2097 ถึงอำเภอสุวรรณคูหา แล้วใช้รถโดยสารประจำทางท้องถิ่นสายอำเภอสุวรรณคูหา-บ้านนาเจริญ



แหล่งที่มา
http://www.siamfreestyle.com/forum/index.php?showtopic=513
http://www.siamfreestyle.com/forum/index.php?showtopic=514
http://www.konnongbua.com/nb/images/stories/story/ph9-2.jpg
http://www.konnongbua.com/nb/images/stories/story/narasurn2.jpg
http://www.konnongbua.com/nb/images/stories/story/erawan.jpg
http://irrigation.rid.go.th/rid5/web-bua/_private/globe1.htm

รอบรู้เรื่องอินเตอร์เน็ต





ความหมายของอินเตอร์เน็ต


อินเทอร์เน็ต ( Internet ) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไซเบอร์สเปซ ( Cyberspace ) คำเต็มของอินเทอร์เน็ต คือ อินเทอร์เน็ตเวิร์กกิง ( Internetworking ) ต่อมานิยมเรียกสั้นๆ ว่า อินเทอร์เน็ต หรือ เน็ต
อินเทอร์เน็ตมีรูปแบบคล้ายกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ WAN แต่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันมากพอสมควร เนื่องจากระบบ WAN เป็นเครือข่ายที่ถูกสร้างโดยองค์กรๆ เดียวหรือกลุ่มองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง และมีผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบแน่นอน แต่อินเทอร์เน็ตจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์นับล้านๆ เครื่องแบบไม่ถาวรขึ้นอยู่กับเวลานั้นๆ ว่าใครต้องการเล่นอินเทอร์เน็ตบ้าง ใครจะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ จึงทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีผู้ใดรับผิดชอบหรือดูแลทั้งระบบ ระบบอินเทอร์เน็ต ช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายข่าวสารข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ โดยไม่จำกัดระยะทาง และสามารถส่งข้อมูลได้หลายรูปแบบ ทั้งข้อความ ตัวหนังสือ ภาพ และเสียง โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่าย ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงเดียวกันคือ TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้
ประวัติความเป็นมา
อินเทอร์เน็ต คือ การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ตามโครงการของอาร์ป้าเน็ต (ARPAnet = Advanced Research Projects Agency Network) เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา ค.ศ.1969(พ.ศ.2512) อาร์ป้าเน็ตได้รับทุนสนันสนุนจากหลายฝ่าย และเปลี่ยนชื่อเป็นดาป้าเน็ต (DARPANET = Defense Advanced Research Projects Agency Network) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบาย และได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์คนละชนิดจาก 4 เครือข่ายเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ
1)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลองแองเจอลิส
2)สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด
3)มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาบาร่า และ
4)มหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก

ดังนั้นในปีค.ศ.1975(พ.ศ.2518) จึงได้เปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายที่ใช้งานจริง ซึ่งดาป้าเน็ตได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่หน่วยการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ (Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตมีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก, IAB (Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ในอินเทอร์เน็ต, IETF (Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัครทั้งสิ้น ค.ศ.1983(พ.ศ.2526) ดาป้าเน็ตตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocal/Internet Protocal) มาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ จึงเป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบัน เพราะ TCP/IP เป็นข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในโลกสื่อสารด้วยความเข้าใจบนมาตรฐานเดียวกัน ค.ศ.1980(พ.ศ.2523) ดาป้าเน็ตได้มอบหน้าที่รับผิดชอบการดูแลระบบอินเทอร์เน็ตให้มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (National Science Foundation - NSF) ร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน ค.ศ.1986(พ.ศ.2529) เริ่มใช้การกำหนดโดเมนเนม (Domain Name) เป็นการสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distribution Database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บไซต์ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ในเครื่องบริการโดเมนเนมหรือไม่ ถ้ามีก็จะตอบกับมาเป็นหมายเลขไอพี ถ้าไม่มีก็จะค้นหาจากเครื่องบริการโดเมนเนมที่ทำหน้าที่แปลชื่ออื่น สำหรับชื่อที่ลงท้ายด้วย .th มีเครื่องบริการที่ thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของโดเมนเนมที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด ค.ศ.1991(พ.ศ.2534) ทิม เบอร์เนอร์ส ลี (Tim Berners-Lee) แห่งศูนย์วิจัย CERN ได้คิดค้นระบบไฮเปอร์เท็กซ์ขึ้น สามารถเปิดด้วย เว็บเบราวเซอร์ (Web Browser) ตัวแรกมีชื่อว่า WWW (World Wide Web) แต่เว็บไซต์ได้รับความนิยมอย่างจริงจัง เมื่อศูนย์วิจัย NCSA ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์เออร์แบน่าแชมเปญจ์ สหรัฐอเมริกา ได้คิดโปรแกรม MOSAIC (โมเสค) โดย Marc Andreessen ซึ่งเป็นเว็บเบราว์เซอร์ระบบกราฟฟิก หลังจากนั้นทีมงานที่ทำโมเสคก็ได้ออกไปเปิดบริษัทเน็ตสเคป (Browser Timelines: Lynx 1993, Mosaic 1993, Netscape 1994, Opera 1994, IE 1995, Mac IE 1996, Mozilla 1999, Chimera 2002, Phoenix 2002, Camino 2003, Firebird 2003, Safari 2003, MyIE2 2003, Maxthon 2003, Firefox 2004, Seamonkey 2005, Netsurf 2007, Chrome 2008) ในความเป็นจริงไม่มีใครเป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ต และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ ผู้ติดสิน ผู้เสนอ ผู้ทดสอบ ผู้กำหนดมาตรฐานก็คือผู้ใช้ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ก่อนประกาศเป็นมาตรฐานต้องมีการทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้นก่อน ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain Name ก็จะยึดตามนั้นต่อไป เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงข้อมูลพื้นฐานอาจต้องใช้เวลา



ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนชุมชนเมืองแห่งใหม่ของโลก เป็นชุมชนของคนทั่วมุมโลก จึงมีบริการต่างๆเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา

1.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail เป็นการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยผู้ส่งสสามารถส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ ในรูปแบบของอีเมล์ เมื่อผู้ส่งเขียนจดหมาย แล้วส่งไปยังผู้รับ ผู้รับจะได้รับจดหมายภายในเวลาไม่กี่วินาที แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสามารถส่งแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์แนบไปกับอีเมล์ได้ด้วย
2.กรขอเข้าระบบจากระยะไกลหรือเทลเน็ต(Telnet) เป็นบริการอินเน็ตรูปแบบหนึ่งโดยที่เราสามารถเข้าไปใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกลๆได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยู่ที่โรงเรียนทำงานโดยใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนแล้วกลับไปที่บ้าน เรามีคอมพิวเตอร์ที่บ้านและต่ออินเตอร์เน็ตไว้เราสามารถเรียกข้อมูลจากที่โรงเรียนมาทำที่บ้านได้ เสมือนกับเราทำงานที่โรงเรียนนั่นเอง
3.การโอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol หรือ FTP) เป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่งของระบบอินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง

4.การสืบค้นข้อมูล(Gopher,Archie,World wide Web) หมายถึง การใช้เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมายแล้วช่วยจัดเรียงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมีระบบ เป็นเมนู ทำให้เราหาข็อมูลได้ง่ายหรือสะดวกมากขึ้น

5.การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น(Usenet) เป็นการให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตทั่วโลกสามารถพบปะกัน แสดงความคิดเห็นของตน โดยมีการจัดการผู้ใช้เป็นกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร์และการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันมี Usenet มากกว่า15,000 กลุ่ม นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ทุกคนจากทั่วมุมโลกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง

6.การสื่อสารด้วยข้อความ(Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุยกันระหว่างผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ไดัรับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ในเวลาเดียวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม

7.การซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Eletronic Commerce) เป็นการจับจ่ายซื้อ - สินค้าและบริการ เช่น ขายหนังสือ คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทใช้อินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าตลอด24ชั่วโมง ในปี2540 การค้าขายบนอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าสูงถึง1แสนล้านบาท และจะเพิ่มเป็น1ล้านล้านบาทในอีก5ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่ที่น่าสนใจและเปิดทางให้ทุกคนเข้ามาทำธุรกิจได้โดยใช้ทุรไม่มากนัก

8.การให้ความบันเทิง(Entertain) ในอินเตอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด24ชั่วโมงและจากแหล่งต่างๆทั่วทุกมุมโลก ทั้งประเทศไทย อเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย เป็นต้น อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย




อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย อดีตถึงปัจจุบัน

ปี พ.ศ. 2529 อาจารย์กาญจนา กาญจนสุต จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย (AIT) ร่วมกับอาจารย์โทโมโนริ คิมูระ จากสถาบันเดียวกัน ร่วมสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยอาศัย - โมเด็ม NEC ความเร็ว 2400 Baud - เครื่องคอมพิวเตอร์พีซี NEC - สายโทรศัพท์ทองแดง โดยเครือข่ายที่ได้ วิ่งด้วยความเร็ว 1200 - 2400 Baud และมีเสียงดังมาก จากนั้นได้ปรับเปลี่ยนไปใช้บริการไทยแพค ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ซึ่งใช้เทคโนโลยี X.25 ผ่านการหมุนโทรศัพท์ไปยังศูนย์บริการของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ทำการรับส่งอีเมล์กับมหาวิทยาลัยโตเกียว และมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น โดยใช้โปรแกรม UUCP ตลอดจนส่งอีเมล์ไปยังบริษัท UUNET ที่เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา และนำมาใช้กับงานของอาจารย์ และงานสอนนักศึกษาในเวลาต่อไป นับได้ว่า อาจารย์กาญจนา กาญจนสุต เป็นบุคคลแรกที่เริ่มใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์รายแรกของประเทศไทย หลังจากนั้นได้มีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลออสเตรเลีย ภายใต้โครงการ The International Development Plan (IDP) ได้ให้ความช่วยเหลือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย พัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไทยขึ้นมา ในปี พ.ศ. 2531 โดยให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางของประเทศไทยในการเชื่อมโยงไปที่เครื่องแม่ข่าย ของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น และตั้งชื่อโครงการนี้ว่า TCSNet - Thai Computer Science Network โดยมีการติดต่อผ่านเครือข่ายวันละ 2 ครั้ง จ่ายค่าใช้จ่ายปีละ 4 หมื่นบาท และใช้ซอฟต์แวร์ SUNIII ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ UNIX ประเภทหนึ่ง ที่แพร่หลายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของออสเตรเลีย (Australian Computer Science Network - ACSNet) ซอฟต์แวร์ SUNIII เป็นโปรแกรม UNIX ที่สามารถรับส่งข้อมูลไปกลับได้เลยในการติดต่อครั้งเดียว ประกอบด้วยเครือข่ายการส่งข้อมูลระบบ Multiple Hops ทำให้แตกต่างจาก UUCP ตรงที่ผู้ใช้ไม่ต้องใส่คำสั่ง และบอกที่อยู่ของจุดหมายปลายทางผ่านระบบทางไกล เพราะเครือข่าย SUNIII สามารถหาที่อยู่ของปลายทาง และส่งข้อมูลได้เอง โปรแกรมนี้ทำงานได้ดีทั้งกับสายเช่าแบบถาวร (Dedicated Line) สายโทรศัพท์ธรรมดาที่ติดต่อแบบ Dial-up และสายที่ใช้ X.25 นอกจากนี้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซีย ยังเป็นศูนย์เชื่อม (Gateway) ระหว่างประเทศไทย กับ UUNET อันส่งผลให้นักวิชาไทยทั่วไป สามารถใช้บริการจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ได้อย่างกว้างขวาง ปี พ.ศ. 2534 อาจารย์ทวีศักดิ์ กออนันตกูล อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดตั้งศูนย์อีเมล์แห่งใหม่ โดยใช้โปรแกรม MHSNet และใช้โมเด็ม 14.4 Kbps (ซึ่งเร็วที่สุดในประเทศไทยในขณะนั้น) และทำหน้าที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเครื่อง Munnari ของออสเตรเลีย กับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศผ่านโปรแกรม UUCP เครือข่ายแห่งใหม่นี้ ประกอบด้วยมหาวิทยาลัยต่างๆ ใน TCSNet และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตลอดจนศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) และใช้ชื่อโครงการว่า "โครงการเชื่อมเครือข่ายไทยสารเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตต่างประเทศ" หลังจากนั้นเนคเทค ก็ได้พัฒนาเครือข่ายอีกเครือข่ายขึ้นมา โดยใช้ X.25 รวมกับ MHSNet และใช้โปรโตคอล TCP/IP เกิดเป็นเครือข่ายไทยสาร "Thai Social/Scientific Academic and Research Network - ThaiSarn" ในปี พ.ศ. 2535
ปลายปี 2535 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เช่าชื้อสายครึ่งวงจร 9.6 Kbps จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย เพื่อเชื่อมกับ UUNET สหรัฐอเมริกา ทำให้จุฬาฯ เป็นศูนย์กลางแห่งใหม่สำหรับเครือข่ายภายใต้ชื่อ ThaiNet อันประกอบด้วย AIT, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และให้สามาชิกไทยสารใช้สายเชื่อมนี้ได้โดยผ่านทางเนคเทคอีกด้วย ภายใต้ระเบียบการใช้อินเทอร์เน็ต (Appropriate Use Policy - AUP) ของ The National Science Foundation (NSF) และปี 2537 เนคเทค ได้เช่าชื้อสายเชื่อมสายที่สอง ที่มีขนาด 64 Kbps ต่อไปยังบริษัท UUNet ทำให้มีผู้ใช้เพิ่มมากขึ้น จาก 200 คนในปี 2535 เป็น 5,000 คนในเดือนพฤษภาคม 2537 และ 23,000 คนในเดือนมิถุนายน ของปี 2537 ฅ AIT ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมภายในประเทศระหว่าง ThaiNet กับ ThaiSarn ผ่านสายเช่า 64 Kbps ของเครือข่ายไทยสาร
ปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลไทย เปิดบริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ โดยมีบริษัทอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศไทย จำกัด อันเป็นบริษัทถือหุ้นระหว่างการสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยใช้สายเช่าครึ่งวงจรขนาด 512 Kbps ไปยัง UUNet โดยถือว่าเป็นบริษัทผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตรายแรกของประเทศไทย และได้เพิ่มจำนวนจนเป็น 18 บริษัทในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย พ.ศ. 2550 บริการอินเทอร์เน็ต (Internet) ในประเทศไทยได้รับความนิยมอย่างสูงและมีความต้องการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ทั้งปริมาณผู้ใช้และปริมาณอัตราการรับส่งข้อมูลที่มีปริมาณมากขึ้นทุกวัน การให้บริการอินเตอร์เน็ตในประเทศไทยได้เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อ เดือน มีนาคม พ.ศ. 2538 โดยความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง คือ การสื่อสารแห่งประเทศไทย องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยให้บริการในนาม บริษัท อินเทอร์เน็ต ประเทศไทย (Internet Thailand) เป็นผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต เชิงพาณิชย์รายแรกของประเทศไทย ต่อมาเมื่อ ตุลาคม 2540 เปลี่ยนรูปกิจการเป็น บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด และได้รับสิทธิ์การให้บริการอินเทอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์อีกเป็นครั้งที่สองและเมื่อ พฤศจิกายน 2544 แปรรูปพ้นสถานะรัฐวิสาหกิจโดยกระจายหุ้นส่วนใหญ่ ให้กับประชาชนผู้สนใจในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จนกระทั่งได้มีองค์กรอิสระองค์กรหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นและบริหารทรัพยากรโทรคมนาคมให้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นก็คือ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กทช. นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจหน้าที่ของ กทช. ที่ พรบ. ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ได้บัญญัติให้ กทช. ต้องดำเนินการเปิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรม จึงทำให้ในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต ในประเทศไทย ถึง 59 ราย ภายในเวลาสองปีตั้งแต่ กทช. ปฏิบัติหน้าที่มา เนื่องจาก กทช. ได้ดำเนินนโยบายเปิดเสรีให้ผู้ที่มีศักยภาพเข้าสู่ตลาดมากขึ้นและผู้ประกอบการเสียค่าธรรมเนียมในอัตราที่ถูกมาก ทำให้ผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต ทุกรายในประเทศสามารถพัฒนาคุณภาพบริการของตนให้สูงที่สุดได้และมีราคาถูกที่สุดได้ อย่างไรก็ตามผลประโยชน์ตกแก่ประชาชนเป็นหลัก การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ผู้ใช้ในประเทศไทยยุคเริ่มแรกจนถึงปัจจุบันใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายเป็นสำคัญ (Fixed Line Access) โดยเริ่มตั้งแต่ผ่านสายโทรศัพท์พื้นฐานพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นใยแก้วนำแสงในปัจจุบัน Business Model บริการ อินเทอร์เน็ต ในอดีตประชาชนเข้าถึงโครงข่าย อินเทอร์เน็ต โดยการใช้คอมพิวเตอร์ต่อผ่านโทรศัพท์บ้าน โดยใช้โมเด็มเป็นอุปกรณ์โทรเรียกเข้าศูนย์ผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ต (Internet Service Provider: ISP) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Dial Up และคิดค่าบริการเป็นชั่วโมง การใช้ โมเด็ม โทรเรียกเข้าศูนย์บริการผ่านสายโทรศัพท์พื้นฐานดั้งเดิมจะมีอัตราการส่งข้อมูลที่ 28.8 kbps (28.8 กิโลบิตต่อวินาที) ซึ่งสาเหตุที่ทำความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้เพียง 28 kbps นั้น เนื่องจากว่าสายโทรศัพท์พื้นฐานตามบ้านเดิม เป็นโครงข่ายที่ทำจากลวดทองแดง ซึ่งจากคุณสมบัติทางกายภาพ (Physical Property) ของลวดทองแดงนั้น สามารถอนุญาตให้สัญญาณทางไฟฟ้า ที่มีความถี่ไม่เกิน 28 กิโลเฮิร์ซ หรือ 28 กิโลบิตต่อวินาทีเท่านั้นผ่านไปได้ แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 เทคโนโลยีโมเด็มได้ถูกพัฒนาความเร็วข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วยเทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล (Data Compression) สามารถส่งความเร็วได้สูงถึง 56 kbps และความหวังของผู้ใช้ อินเทอร์เน็ต หลายฝ่ายดูเหมือนจะจบลงด้วยข้อจำกัดอัตราการรับส่งข้อมูลเท่านั้นอยู่หลายปี อันเนื่องมาจากข้อจำกัดของโครงข่ายสายทองแดงเดิมที่มีอยู่ทั่วโลก ยุคอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง จู่ๆ ก็เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในการรับส่งข้อมูลผ่านสาย ทองแดง กันอย่างมากมายทั่วโลก โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงเทคนิคการส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์เดิมเข้าสู่ยุค Digital Subscriber Line หรือ DSL เป็น เทคโนโลยี ที่พัฒนาการรับส่งข้อมูลผ่านสายโทรศัพท์ลวดทองแดงธรรมดา ให้สามารถเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงได้ทะลุขีดจำกัดด้านคุณสมบัติทางไฟฟ้าของสายทองแดง DSL สามารถรับส่งข้อมูล อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงได้ตั้งแต่ 5 Mbps จนกระทั่งถึง 100 Mbps อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบจากเทคโนโลยี โมเด็ม แบบเดิมตรงที่สามารถเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ได้ตลอดเวลา (Always o­n) โดยไม่จำเป็นต้องโทรเรียกเข้าศูนย์ผู้ให้บริการทุกครั้งและไม่นับชั่วโมงอีกต่อไป ทั้งยังสามารถใช้โทรศัพท์บ้านไปพร้อมกับการใช้ อินเทอร์เน็ต ได้อีกด้วย Business Model เปลี่ยนเป็นการเก็บค่าบริการรายเดือน การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสื่อกลางอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงผ่านข่ายสายไฟฟ้า (Broadband Power Line) ล่าสุดผู้ให้บริการไฟฟ้าทั้งสามแห่งได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจาก กทช. ให้สามารถให้บริการในลักษณะของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านสายไฟฟ้าในประเทศได้ นับเป็นอีกหนึ่งโอกาสอันดีของประชาชนในประเทศที่มีทางเลือกที่ดีมากขึ้นและเป็นการพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคมโดยรวมของประเทศให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยอีกประการ เทคโนโลยีไร้สายกำลังมาแรง ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่สร้างความรุ่งเรืองในวงการโทรคมนาคมสลับกับเทคโนโลยีผ่านสายอันเป็นวฎจักรเสมอมา การเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ไร้สายในประเทศไทยได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย โดยเริ่มเกิดความนิยมจากการใช้ WiFi ของ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ไร้สายซึ่งมีความสะดวกสบายจึงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นก็ยังมีการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านดาวเทียม ที่รู้จักกันในนาม iPSTAR เรียกได้ว่าเป็นดาวเทียมแบบ interactive ดวงแรก นอกจากนี้ในอนาคนอันใกล้เราอาจได้ยินคำว่า WISP หรือ Wireless ISP นั่นเองซึ่งเป็นผู้ให้บริการ การเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงไร้สายที่เรียกโดยรวมว่า Broadband Wireless Access (BWA) หรือเราอาจเคยได้ยินในชื่อทางการค้าอย่าง WiMax เป็นต้น WiMAX กล่าวให้เข้าใจง่ายคือ การเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ตไร้สาย ที่ครอบคลุมพื้นที่กว้างนั่นเอง หลายท่านคงนึกภาพการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน WiFi ออก WiMAX ก็แค่เพิ่มพื้นที่การครอบคลุมให้กว้างขึ้นนั่นเอง เรียกว่าเป็น สิบๆ กิโลเมตรเลยทีเดียว สภาพตลาดบริการอินเทอร์เน็ต (Market Structure) ปัจจุบันมีคนไทยใช้ อินเทอร์เน็ต ประมาณ 10 ล้านคน สภาพตลาดบริการโดยรวมมีจำนวนผู้รับใบอนุญาตเพื่อให้บริการ อินเทอร์เน็ต จาก กทช. ทั้งสิ้น 59 ราย บริการ อินเทอร์เน็ต ในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่ามีระดับการแข่งขันที่สูง เนื่องจากมีจำนวนผู้ให้บริการจำนวนมากใกล้เคียงลักษณะตลาดแบบ Perfect Competition ในอุดมคติและจำนวนผู้ใช้บริการก็มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ค่าบริการ อินเทอร์เน็ต ในตลาดบริการ อินเทอร์เน็ต ทั้งสองตลาดมีอัตราค่าบริการที่ต่างกันตามคุณภาพบริการหรืออัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูล กล่าวคือ ตลาดอินเทอร์เน็ต ความเร็วต่ำ (Narrow Band) จะมีอัตราค่าบริการที่ต่ำกว่าตลาด อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง (Broad Band) โดยแนวโน้มของอัตราค่าบริการ อินเทอร์เน็ต มีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด (สอดคล้องกับหลัการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรม) ปัจจุบันอัตราค่าบริการ อินเทอร์เน็ต ความเร็วต่ำราคาค่าบริการต่ำสุด 4 บาทต่อชั่วโมง ในขณะที่อัตราค่าบริการ อินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงอัตราค่าบริการต่ำสุดที่ 290 บาทต่อเดือน แนวโน้มธุรกิจ IT ในปี 2550 ในรายงานศูนย์วิจัยกสิกรไทยฉบับ “52 ธุรกิจปีกุน: ต้องเร่งปรับตัว...รับเศรษฐกิจพอเพียง” ปีที่ 13 ฉบับที่ 1946 วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ประมาณว่า ตลาดไอทีไทยจะยังสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 15 มีมูลค่าตลาดประมาณ 162,717 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้



- การขยายตัวของเศรษฐกิจ ในปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ว่าจะอยู่ในระดับร้อยละ 4.0-5.0 ทั้งนี้เนื่องมาจากปัจจัยบวกหลายประการ อาทิ ความสามารถในการเบิกจ่ายงบลงทุนของภาครัฐจะมีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจไทยในปีหน้า อัตราเงินเฟ้อในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ในขณะที่ราคาน้ำมันในประเทศก็น่าจะมีเสถียรภาพมากกว่าในปี 2549 ที่ผ่านมารวมทั้งมีความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้น่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการใช้จ่ายซื้อสินค้ามากกว่าปีที่ผ่านมา รวมทั้งการเพิ่มการลงทุนสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น
- การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในด้านไอที มูลค่าตลาดไอทีนั้นหากเทียบกับมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) แล้ว สำหรับประเทศไทยนั้นจัดว่ามีสัดส่วนค่อนข้างน้อยหรือประมาณร้อยละ 1.97 ของ GDP ในปี 2549 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.22 ในปี 2550 โดยกลุ่มที่มีการใช้จ่ายทางด้านไอทีสูงได้แก่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและโฮมออฟฟิส (SOHO) กลุ่มการศึกษา ส่วนกลุ่มราชการนั้นน่าจะมีโครงการจัดซื้อเพิ่มขึ้นหลังจากที่ในปี 2549 ได้ชะลอการจัดซื้อลง
- การเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์ สำหรับตลาดคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังมีโอกาสขยายตัวได้ดี ทั้งนี้เพราะฐานจำนวนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ โดยในปี 2550 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่าตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลนั้นน่าจะมีการเติบโตขึ้นประมาณร้อยละ 8-10 มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1.4-1.5 ล้านเครื่อง
- การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพของเทคโนโลยีเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างต่อเนื่องทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถสร้างจุดขายใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น แต่ราคาเทคโนโลยีกลับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก


ในปี 2550 จะมีเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องจากปี 2549 โดยเฉพาะ Dual core Processor ที่จะทำให้การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและรองรับการทำงานในลักษณะมัลติมีเดียและรองรับระบบปฎิบัติการวินโดว์วิสต้า ที่จะเปิดตลาดอย่างเป็นทางการในปี 2550 Thailand, English and Internet จากเอกสาร BITS AND BAHTS: THAILAND INTERNET CASE STUDY ของ ITU (INTERNATIONAL TELECOMMUNICATION UNION), March 2002, ใน BOX ที่ 1.3 หัวข้อ Thailand, English and Internet นั้นเป็นบทวิเคราะห์วิจัยให้เห็นภาพรวมของการใช้ประโยชน์จาก อินเทอร์เน็ต ของคนไทยกับปัญหาด้านภาษาอังกฤษ
Thai Internet User’s English Barrier สะท้อนให้เห็นภาพรวมว่า ภาษาอังกฤษไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนไทยผู้ใช้ อินเทอร์เน็ต เลย กลับเป็นเรื่องเล็กที่สุดด้วยซ้ำไป ส่วนใหญ่คนไทยผู้ใช้ อินเทอร์เน็ต จะมีความรู้ทางภาษาอังกฤษในระดับที่ดี ในภาพรวมนั้น ภาษาอังกฤษ เป็นปัญหาที่คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตประสบน้อยที่สุดเพียง 23% เท่านั้นเอง แต่ปัญหาที่ผู้ใช้ อินเทอร์เน็ต ประสบสูงที่สุดคือ ความเร็ว นั่นเองเป็นปัญหาใหญ่ถึง 40% จากเอกสาร BITS AND BAHTS: THAILAND INTERNET CASE STUDY ของ ITU เมื่อ มีนาคม 2002 ยังได้สำรวจพฤติกรรมการซื้อสินค้า ออนไลน์ ของคนไทยพบว่าแทบไม่มีความต้องการซื้อสินค้าผ่าน อินเทอร์เน็ต โดยเหตุผลสูงสุดที่คนไทยไม่ต้องการซื้อสินค้า ออนไลน์ นั้น เนื่องจากว่า ไม่สามารถสัมผัสหรือเห็นสินค้าชัดๆ ได้ถึง 40% รองลงมาคือไม่อยากกรอกหมายเลข บัตรเครดิต ลงในอินเทอร์เน็ต 34% ไม่เชื่อใจผู้ค้า 33% ไม่สนใจ 26% ไม่มีบัตรเครดิต 25% รู้สึกยุ่งยากซับซ้อน 23% และเหตุผลน้อยที่สุดคือไม่อยากเสียเวลารอสินค้ามาส่ง 14% แต่ในปัจจุบันมีการซื้อขาย ออนไลน์ เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
นอกจากนั้นผลการสำรวจของ ITU ในเอกสารดังกล่าวยังระบุว่า ความพร้อมด้าน อินเทอร์เน็ต (E-readiness) ของคนไทยนั้นอยู่ในอันดับที่ 46 จากการสำรวจใน 60 ประเทศ กทช. มีมติเปิดเสรี อินเทอร์เน็ตเกตเวย์ กทช. มีหน้าที่เปิดเสรีในทุกบริการโทรคมนาคมของประเทศ ซึ่งนอกจากเปิดเสรีให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรมในการให้บริการ อินเทอร์เน็ต ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังรวมถึงเปิดเสรีให้มีผู้ให้บริการเชื่อมต่อโครงข่ายไปยังต่างประเทศด้วย ที่เรียกกันว่า International Internet Gateway (IIG) ในการประชุม กทช. เมื่อวันที่ 24 พค. 50 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการแข่งขันเสรีบริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับประกาศ กทช. ทั้งนี้การเปิดเสรีบริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ โดยการสร้างวงจรเชื่อมต่อระหว่างประเทศไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศโดยตรงนั้น เชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศโดยรวมคือ

1. ก่อให้เกิดการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม มีการลงทุนและพัฒนาโครงข่ายที่เพียงพอต่อความต้องการบริการ กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนโดยรวมของประเทศไทย ลดต้นทุนการผลิตจากค่าบริการที่ลดลง

2. การแข่งขันเสรีภายในกรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสม จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ยังลดทอนการผูกขาดและกระจายความเสี่ยงของการมีช่องทางเชื่อมต่อที่ล้าสมัย

3. การที่มีผู้ให้บริการ อินเทอร์เน็ตเกตเวย์ เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มทางเลือกให้ ISP ในประเทศได้ใช้บริการเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของจำนวนแบนด์วิดท์ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
4. ส่งเสริมเสถียรภาพโดยรวมของประเทศทั้งทางด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงจากการมีวงจรสำรองเชื่อมต่อระหว่างประเทศ (Redundancy) เพิ่มมากขึ้น การเปิดเสรี International Internet Gateway ครั้งนี้นั้นสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรมและเปิดโอกาสให้มีผู้ให้บริการ IIG เพิ่มมากขึ้น อันจะส่งผลให้ประชาชนมีทางเลือกที่ดีมากขึ้นและโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศโดยรวมมีการพัฒนาประสิทธิภาพสูงมากขึ้น ทั้งยังตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในประเทศที่ต้องการบริโภคข้อมูลที่มีปริมาณสูงขึ้นการเพิ่มช่องทางการเชื่อมต่อ อินเทอร์เน็ต ไปต่างประเทศจะลดการคับคั่งช่องทางการจราจรและยังเป็นวงจรสำรองของประเทศเมื่อเกิดเหตุวงจรเชื่อมต่อเดิมประสบปัญหา จะเห็นได้ว่าการเปิดเสรีในการแข่งขันให้บริการ อินเทอร์เน็ต ของประเทศไทยโดย กทช. นั้น ส่งผลกระทบรวมในด้านบวกต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านอย่างเป็นรูปธรรมบริการต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต
บริการบนอินเทอร์เน็ตมีหลายประเภท

เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ได้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างบริการบนอินเทอร์เน็ตที่สำคัญดังนี้

1.บริการด้านการสื่อสาร

1.1 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(electronic mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่าอีเมล์ (E-mail) ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมประจำวันของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ซึ่งการส่งและรับจดหมาย หรือข้อความถึงกันได้ทั่วโลกนี้จำเป็นจะต้องมีที่อยู่อีเมล์ (e-mail address หรือ e-mail account) เพื่อใช้เป็นกล่องรับจดหมาย ที่อยู่ของอีเมล์จะประกอบ ด้วยส่วนประกอบสำคัญ 2 ส่วน คือ ชื่อผู้ใช้ (User name) และชื่อโดเมน(Domain name) ซึ่งเป็นชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีรายชื่อของผู้ใช้อีเมล์ โดยชื่อผู้ใช้และชื่อโดเมนจะคั่นด้วยเครื่องหมาย @(อ่านว่า แอ็ท) เช่น Sriprai@sukhothai.siamu.ac.th จะมีผู้ใช้อีเมล์ชื่อ Sriprai ที่มีอยู่อีเมล์ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ชื่อ sukhothai ของมหาวิทยาลัยสยาม(siamu) ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษา (ac) ในประเทศไทย (th) ในการรับ-ส่งจดหมาย โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้น ได้มีการพัฒนาโปรแกรมที่ใช้สำหรับอีเมล์อยู่หลายโปรแกรม เช่น โปรแกรม Microsoft Outlook Express โปรแกรม Netscape Mail เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับที่อยู่อีเมล์ได้ฟรีจากเว็บไซต์ที่ให้บริการที่อยู่อีเมล์ฟรี เว็บไซต์ที่เป็นที่รู้จักและนิยม ได้แก่ www.hotmail.com, www.chaiyo.com, www.thaimail.com โดยทั่วไปแล้ว ส่วนประกอบหลัก ๆ ของอีเมล์จะประกอบด้วยส่วนหัว (header) และส่วนข้อความ (message)

1.2 รายชื่อกลุ่มสนทนา (mailing lists) mailing lists เป็นกลุ่มสนทนาประเภทหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่มีการติดต่อสื่อสารและการส่งข่าวสารให้กับสมาชิกตามรายชื่อและที่อยู่ของสมาชิกที่มีอยู่ ในรายการซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่ม mailing lists ที่แตกต่างกันตามความสนใจจำนวนมาก การเข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มสนทนาประเภทนี้ ผู้ใช้จะต้อง สมัครสมาชิกก่อนด้วยการแจ้งความประสงค์และส่งชื่อและที่อยู่เพื่อการลงทะเบียบไปยัง subscription address ของ mailing lists ตัวอย่าง mailing list เช่น ทัวร์ออนไลน์ (tourbus@listserv.aol.com)กลุ่มสนทนาเรื่องตลก (dailyjoke@lists.ivllage.com)

1.3 กระดานข่าว (usenet) ยูสเน็ต (usenet หรือ user network) เป็นการรวบรวมของกลุ่มข่าวหรือ newsgroup ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนใจที่ต้องการจะติดต่อและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนอื่น ๆ กลุ่มของ newsgroup ในปัจจุบันมีมากกว่า 10,000 กลุ่มที่มีความสนใจในหัวข้อที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้สนใจศิลปะ กลุ่มคอมพิวเตอร์ กลุ่มผู้ชื่นชอบภาพยนต์ เป็นต้น การส่งและรับแหล่งข่าวจาก usenet จะใช้โปรแกรมสำหรับอ่านข่าวเพื่อไปดึงชื่อของกลุ่มข่าวหรือหัวข้อจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้เข้าไปขอใช้บริการ เช่นเดียวกับระบบชื่อโดเมน (DNS) กลุ่มข่าวจะมีการตั้งชื่อเพื่อใช้เป็นแบบมาตรฐาน ซึ่งชื่อกลุ่มจะประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ๆ คือ ชื่อหัวข้อกลุ่มข่าวหลัก (major topic) ชื่อกลุ่มข่าวย่อย (subtopic) และประเภทของกลุ่มข่าวย่อย (division of subtopic) ตัวอย่างเช่น

1.4 การสนทนาออนไลน์(On-line chat) การสนทนาออนไลน์ เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถคุยโต้ตอบกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน (real-time) การสนทนาหรือ chat (Internet Relay Chat หรือ IRC)ได้มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันการสนทนาระหว่างบุคคลหรือ กลุ่มบุคคลสามารถใช้ภาพกราฟิก ภาพการ์ตูนหรือภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ แทนตัวผู้สนทนาได้ นอกจากการสนทนาแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและไฟล์ได้อีกด้วย การใช้งาน IRC ผู้ใช้จะต้องติดต่อไปยังเครื่องที่เป็นไออาร์ซีเซิร์ฟเวอร์ (IRC server) ที่มีการแบ่งห้องสนทนาเป็นกลุ่ม ๆ ที่เรียกว่า แชนแนล (channel) โดยผู้ใช้จะต้องมีโปรแกรมเพื่อใช้สำหรับการสนทนา (ซึ่งสามารถดาวน์โหลดฟรีจากอินเทอร์เน็ต) เมื่อผู้ใช้ติดต่อกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้แล้ว ก็จะเลือกกลุ่มสนทนาหรือหัวข้อสนทนาที่สนใจ และเริ่มสนทนาได้ตามความต้องการ ตัวอย่าง โปรแกรมสนทนาออนไลน์ที่นิยมใช้กัน ในปัจจุบัน เช่น ICQ(I Seek You) และ mIRC การสนทนาผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันผู้ใช้สามารถใช้สื่อประสม (multimedia) ประกอบด้วย เสียงพูด และภาพเคลื่อนไหว โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ไมโครโฟน ลำโพง กล้องวีดีโอ และอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพื่อประสิทธิภาพของการสนทนา ให้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของโปรแกรม ได้มีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อการสนทนาออนไลน์ที่มีคุณภาพ เช่น โปรแกรม Microsoft NetMeeting ที่สามารถสนทนากันไปพร้อม ๆ กับมองเห็นภาพของคู่สนทนาได้ด้วย
1.5 เทลเน็ต (telnet) เทลเน็ตเป็นบริการที่ให้ผู้ใช้สามารถใช้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ระยะไกล โดยจะใช้การจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งานอยู่ ให้เป็นจอภาพ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ระยะไกลเครื่องนั้น การทำงานในลักษณะนี้ จะช่วยประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในกรณีที่ต้องเดินทางไปใช้งาน เครื่องคอมพิวเตอร์ระยะไกล การใช้งานเทลเน็ตจะเป็นการแสดงข้อความตัวอักษร (text mode) โดยปกติการเข้าไปใช้บริการเครื่องคอมพิวเตอร์ ระยะไกล จำเป็นต้องมีรายชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน แต่ก็มีบางหน่วยงานที่อนุญาติให้เข้าใช้บริการโดยไม่ต้องระบุรหัสผ่านเพื่อ เป็นการให้บริการข้อมูลแก่ลูกค้าทั่ว ๆ ไป

2.บริการด้านข้อมูลต่าง ๆ

2.1 การขนถ่ายไฟล์(file transfer protocol) การขนถ่ายไฟล์ หรือที่เรียกสั้น ๆว่า เอฟทีพี (FTP) เป็นบริการที่ใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เน็ต เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการไฟล์จะเรียกว่า เอฟทีพีเซิร์ฟเวอร์ (FTP sever หรือ FTP site) ข้อมูลที่ให้บริการขนถ่ายไฟล์จะมีลักษณะหลายรูปแบบ ได้แก่ ข้อมูลสถิติ งานวิจัย บทความ เพลง ข่าวสารทั่วไป หรือโปรแกรมฟรีแวร์ (freeware) ที่สามารถดาวน์โหลดและใช้โปรแกรมฟรี ในบางครั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการขนถ่ายไฟล์จะให้บริการเฉพาะบุคคลที่มีบัญชีรายชื่ออยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ก้ฒีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการขนถ่ายไฟล์จำนวนมากอนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปได้เข้าไปใช้บริการ ถึงแม้ว่าในบางครั้งจะไม่อนุญาต ให้ขนถ่ายไฟล์ทั้งหมดก็ตาม

2.2 โกเฟอร์ (gopher) เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่ให้บริการข้อมูลในลักษณะของการค้นหาจากเมนู(menu-based search) จากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการข้อมูล โปรแกรมโกเฟอร์พัฒนาโดยมหาวิทยาลัย Minnesota ในปี ค.ศ. 1991 เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการฐานข้อมูลจะเป็นลักษณะของเมนูลำดับชั้น (hierarchy) เพื่อเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่กระจายกันอยู่หลายแหล่งได้

2.3 อาร์ซี (archie) อาร์ซี เป็นการเข้าใช้บริการค้นหาข้อมูลจากเครื่องแม่ข่ายที่เป็นอาร์ซีเซิร์ฟเวอร์ (archie sever ) ซึ่งเป็นแหล่งที่ช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาสถานที่ของข้อมูล จากนั้นก็จะไปค้นข้อมูลโดยตรงจากสถานที่นั้นต่อ

2.4 WAIS (Wide Area Information Severs) WAIS เป็นบริการค้นหาข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตที่ได้รวบรวมข้อมูลและดรรชนีสำหรับสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้เพื่อสามารถเข้าไปยังข้อมูลที่ต้องการและสามารถเชื่อมโยงไปยังศูนย์ข้อมูล WAIS อื่นๆ ได้ด้วย


2.5 veronica veronica ย่อมาจาก very easy rodent-oriented net-wide index to computerized archives เป็นบริการที่รวบรวมข้อมูลเพื่อช่วยอำนวย ความสะดวกในการค้นหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
2.6 การค้นหาข้อมูลโดยใช้เว็บเบราเซอร์ อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายใยแมงมุมที่มีการเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก การค้นหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ถ้าผู้ใช้ไม่ทราบที่อยู่ของเว็บไซต์ ก็สามารถค้นหาแหล่งข้อมูลโดยใช้บริการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วปัจจุบันการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเป็นเรื่อง ที่กระทำได้สะดวกและรวดเร็ว การพัฒนาเว็บไซต์ที่ช่วยสืบค้นแหล่งข้อมูลที่เรียกว่า เครื่องค้นหา (search engine) ช่วยให้การค้นหาทั้งในรูปของ ข้อความและกราฟิกกระทำได้โดยง่าย เว็บไซต์ที่ช่วยสำหรับการสืบค้นข้อมูลที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ yahoo.com, altavista.com, lycos.com, excite.com, ask.com, infoseek.ccom


ที่มา


วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ธรรมชาติ




น่ารักสุด


อินเตอร์เน็ต

นางสาวภาวินิตย์ ศรีสุธรรม

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อินเตอร์เน็ต

วันที่ 9 พ.ย.2552 เรียนการสร้างบล็อก